‘นิวยอร์ก’ จับมือ ‘สิงคโปร์’ ขึ้นแท่นเมืองค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก

01 ธ.ค. 2565 | 07:03 น.

ผลการสำรวจประจำปีของ EIU เผย นิวยอร์กและสิงคโปร์ คือเมืองที่มี “ค่าครองชีพสูงสุดในโลก” ในปีนี้ เบียด ‘เทลอาวีฟ’ แชมป์เก่าหล่นอยู่อันดับ3 เหตุเงินเฟ้อพุ่งสูง

 

อีโคโนมิสต์อินเทลลิเจนซ์ยูนิต (EIU) หน่วยวิจัยในกรุงลอนดอน เผย รายงานดัชนีค่าครองชีพโลกประจำปี 2022 พบว่า มหานครนิวยอร์ก และ สิงคโปร์ ร่วมกันครองอันดับหนึ่ง เมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกในปีนี้ เบียด ‘เทลอาวีฟ’ เมืองหลวงของอิสราเอล ที่เป็นแชมป์เก่าปี 2021 ลงไปอยู่อันดับสาม

 

สาเหตุสืบเนื่องมาจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นมาก จากหลากปัจจัย โดยหลักๆ คือผลกระทบจากสงครามในยูเครน และข้อจำกัดเพื่อคุมโควิดที่ยังคงดำเนินอยู่ (โดยเฉพาะในจีน) ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับซัพพลายเชนโดยเฉพาะอาหารและพลังงาน

 

ทั้งนี้ นิวยอร์กติดอันดับสูงสุดเป็นครั้งแรก ขณะที่เมืองดามัสกัสและตริโปลียังคงเป็นแชมป์ในแง่ “เมืองค่าครองชีพต่ำที่สุดในโลก”

 

ผลการสำรวจของ EIU ระหว่างเดือน ส.ค.และ ก.ย. 2022 พบว่า ราคาสินค้าใน 172 เมืองใหญ่ที่สำรวจพุ่งขึ้นโดยเฉลี่ยที่อัตรา 8.1%

มหานครนิวยอร์ก ขึ้นแท่นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกในปีนี้

... ร่วมกับสิงคโปร์

นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า การที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามีผลต่อการจัดอันดับด้วย เนื่องจากราคาสินค้ารวม 50,000 รายการทั่วโลกถูกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินดอลลาร์ซึ่งแข็งค่าขึ้นมากในปีนี้ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาหลายครั้งติดต่อกันเพื่อพยายามสกัดเงินเฟ้อที่ทะยานสูงสุดในรอบหลายสิบปี

 

เมืองอื่นๆในสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาอยู่ใน 10 อันดับแรก (Top 10) สำหรับปีนี้ นอกเหนือจากนิวยอร์กแล้ว ยังมีลอสแองเจลิสและซานฟรานซิสโกด้วย

 

ส่วนเมืองที่ขยับอันดับขึ้นมามากที่สุด คือ มอสโกและเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในรัสเซีย พุ่งขึ้นมา 88 และ 70 อันดับ ตามลำดับ เนื่องจากราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นมากภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก

 

อุปัสนา ดัตต์ หัวหน้าการวิจัยของ EIU ให้ความเห็นว่า สงครามในยูเครน มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก และนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน เป็นเหตุสำคัญทำให้เกิดปัญหาซัพพลายเชนที่ผสมผสานกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้เกิดวิกฤติค่าครองชีพทั่วโลก

 

“เราเห็นผลกระทบได้ชัดในดัชนีปีนี้ ที่ค่าเฉลี่ยราคาสินค้าเพิ่มขึ้นทั่วทั้ง 172 เมืองที่เราทำการสำรวจ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นับว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาในรอบ 20 ปีเท่าที่เรามีการบันทึกข้อมูลดิจิทัล”