ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ กำลังกลายเป็นดราม่าร้อน หลังจากที่ทำงานมาได้เพียง 44 วัน
น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ดราม่าร้อน !! เบี้ยเลี้ยงรายปีของอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ ปีละ 5 ล้านบาท รับตลอดชีวิต แลกกับการทำงาน 44 วัน
หลังจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) ได้ประกาศลาออกจากการดำรงตำแหน่ง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม 2565
เป็นการปิดฉากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ 44 วัน ด้วยสาเหตุจากปัญหานโยบายทางด้านเศรษฐกิจและการคลัง ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับประเทศอังกฤษอย่างมาก
ทำให้มีผู้ไม่เห็นด้วย ทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และประชาชนทั่วไป
ทำให้พรรคอนุรักษ์นิยม จะต้องเร่งหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไปพร้อมกัน โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่แต่อย่างใด
โดยที่พรรคฝ่ายค้านคือพรรคแรงงาน ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในทันที
ก็มีดราม่าร้อนตามมา ทั้งในอังกฤษเองและทั่วโลกว่า นายกรัฐมนตรี "ลิซ ทรัสส์" ควรจะสละสิทธิ์ ไม่รับเบี้ยเลี้ยงประจำปี จำนวน 5 ล้านบาทต่อปี หรือเดือนละ 400,000 บาท เพราะทำงานมาเพียง 44 วัน ไม่ควรจะรับเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว ซึ่งจะจ่ายไปตลอดชีวิต
คงต้องมาทำความเข้าใจกันว่า เงินดังกล่าวนั้นคือ เงินอะไรกันแน่ เป็นเงินบำนาญ เป็นเงินเดือนค่าตอบแทน หรือเป็นเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายในกรณีใด
เมื่อทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว การที่จะมีความคิดเห็นว่า นายกรัฐมนตรี ลิซ ทรัสส์ สมควรจะได้รับเงินดังกล่าวหรือไม่ ก็จะมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์พอที่จะพิจารณา
อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษทุกท่าน เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว ก็จะได้รับเงินบำนาญ ซึ่งในสมัยก่อนจะได้รับ 50% ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย ในระดับเดียวกับสามผู้ทรงอำนาจของอังกฤษได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาล่างหรือสภาผู้แทนราษฎร(Speaker of the Commons) และประธานสภาสูงหรือวุฒิสภา (Lord Chancellor)
ตอนหลังได้ยกเลิก และให้มารับบำนาญอยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกันกับบำนาญของกลุ่มรัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไป ตามตำแหน่งหน้าที่ และอายุงานที่ทำมา
แต่ในส่วนที่เป็นดราม่านี้ ไม่ใช่บำนาญ และไม่ใช่เงินเดือนค่าตอบแทน
หากแต่เป็นเบี้ยเลี้ยงที่จ่ายเพื่อความจำเป็น ในการที่อดีตนายกรัฐมนตรีจะปรากฏตัวหรือปฏิบัติภารกิจสาธารณะ ในฐานะเป็นอดีตผู้นำประเทศ ให้สมศักดิ์ศรีและมีความสง่างาม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
เงินดังกล่าวจะถือว่ามากหรือน้อย ก็แล้วแต่มุมมอง
แต่อดีตนักการเมืองของอังกฤษ หลังจากพ้นตำแหน่งไปแล้ว จะได้รับเงินจำนวนมากกว่านั้นหลายเท่า เช่น เคยมีอดีตรองนายกฯได้รับเงินถึง 430 ล้านบาทจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง อดีตประธานวุฒิสภาท่านหนึ่ง ได้รับเงินตอบแทน 27.95 ล้านบาทต่อปี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศมีรายได้ 33 ล้านบาทต่อปีจากการทำงานหลังจากพ้นตำแหน่งแล้ว
นอกจากนั้นยังมีระบบการกลั่นกรองเบื้องต้น สำหรับอดีตนายกรัฐมนตรีว่า เมื่อพ้นตำแหน่งแล้วจะไปหางานทำ จะต้องแจ้งให้ทางคณะกรรมการ ACOBA ซึ่งจะมาตรวจสอบว่า งานที่ไปทำนั้น ถ้าเป็นของเอกชน บริษัทดังกล่าวเคยได้รับประโยชน์จากการตัดสินใจของอดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่
แต่ก็เป็นเพียงการทำความเห็นเท่านั้น ในทางปฏิบัติอดีตนายกมนตรีจะไม่ฟังคำทักท้วงหรือข้อเสนอแนะของ ACOBA ก็ได้
จึงสรุปได้ว่า