เกิดอะไรขึ้นบ้าง หลัง “ปูติน” ประกาศผนวก 4 แคว้นของยูเครนเป็นของรัสเซีย

03 ต.ค. 2565 | 01:20 น.

ปธน.ปูตินลงนามในกฤษฎีการับรองการผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครน ได้แก่ โดเนตสก์, ลูฮันสก์, เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังการทำประชามติที่หลายฝ่ายไม่ยอมรับ และท่ามกลางกระแสคัดค้านจากประชาคมโลก

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศที่ทำเนียบเครมลินในกรุงมอสโกระหว่างการทำพิธี ผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ รัสเซีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (30 ก.ย.) ว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองโดเนตสก์, ลูฮันสก์, เคอร์ซอน และซาปอริซเซีย กำลังจะกลายมาเป็นเพื่อนร่วมชาติของรัสเซียตลอดไป แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง 

ปธน.ปูติน ประกาศรับรองการผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย มีผลตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา

 

1) ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนตอบโต้ในทันทีด้วยการออกมาประกาศว่า ยูเครนกำลังยื่นใบสมัคร “แบบเร่งด่วน” เพื่อเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทางทหารนาโต (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ: NATO) และเขาขอยืนยันว่า การทำประชามติที่จัดขึ้นโดยรัสเซียใน 4 แคว้นดังกล่าว ซึ่งมีพื้นที่รวมคิดเป็น 15% ของพื้นที่ทั้งหมดของยูเครน เป็นการ “ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและดำเนินการภายใต้การบังคับยึดครอง”

 

ในวันเดียวกัน นายดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน กล่าวว่า รัฐบาลเคียฟไม่มีทางยอมรับผลการลงประชามติครั้งนี้ และขอเตือนว่า การดำเนินการดังกล่าวมีแต่จะบ่อนทำลายสันติภาพ เนื่องจากยูเครนจะเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารเพื่อกระชับพื้นที่คืนต่อไป พร้อมทั้งเรียกร้องชาติตะวันตกยกระดับมาตรการคว่ำบาตร "เพื่อลงโทษ" รัฐบาลมอสโก

2) ทำเนียบขาวประณามการยึดครองแผ่นดินยูเครนของรัสเซียอย่างรุนแรงเช่นกัน โดย ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ที่เรียกการผนวกแผ่นดินยูเครนเป็นของรัสเซียในครั้งนี้ว่า “เป็นเรื่องจอมปลอม” และย้ำว่า รัสเซียกำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เหยียบย่ำกฎบัตรสหประชาชาติ และแสดงให้เห็นถึงการที่รัสเซียไม่เคารพต่อชาติใด ๆ ที่สนับสนุนสันติภาพ

 

นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ออกแถลงการณ์ในนามกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐว่า สหรัฐและพันธมิตรทั้งหลายจะดำเนินมาตการลงโทษเพิ่มเติมที่ “รุนแรงและมีผลอย่างรวดเร็ว” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลรัสเซีย รวมทั้งต่อสมาชิกในครอบครัวของคนเหล่านี้ด้วย  ซึ่งครอบคลุมถึงเจ้าหน้าที่ทางทหารของรัสเซียและเบลารุส ตลอดจนบุคคลในเครือข่ายการจัดซื้ออาวุธ ซัพพลายเออร์อาวุธจากชาติอื่น ๆ ที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและกิจการทางทหารของรัสเซีย

 

พื้นที่สีชมพูแสดง 4 แคว้นของยูเครนที่เพิ่งถูกประกาศผนวกเป็นดินแดนของรัสเซียเมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่่ผ่านมา

3) ด้าน สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (UNSC) 15 ประเทศ เห็นชอบมติเรียกร้องให้รัสเซีย "ยุติการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ" รวมถึงถอนกำลังทหารทั้งหมด ด้วยคะแนน 10 ต่อ 1 เสียง ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. (โดยมีจีน อินเดีย บราซิล และสาธารณรัฐกาบองงดออกเสียง) แต่รัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกถาวรของ UNSC ใช้สิทธิยับยั้ง (วีโต) เพื่อคัดค้านมติของ UNSC ที่ประณามการทำประชามติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใน 4 แคว้นยูเครน (มีขึ้นระหว่างวันที่ 23-27 ก.ย.ที่ผ่านมา)

 

อย่างไรก็ตาม นางลินดา โธมัส-ดรีนฟิลด์ ผู้แทนถาวรสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ กล่าวก่อนการลงมติว่าในกรณีที่รัสเซียใช้สิทธิวีโต ทางสหรัฐและแอลเบเนีย สองประเทศที่สนับสนุนมติดังกล่าว จะนำกรณีนี้เข้าสู่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติซึ่งมีสมาชิก 193 ประเทศและไม่มีการใช้สิทธิยับยั้ง โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าประชาคมโลกยังยืนหยัดเคียงข้างอธิปไตยและการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนที่ชอบธรรมของยูเครน

ลินดา โธมัส-ดรีนฟิลด์ ผู้แทนถาวรสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ

 

4) นางบาร์บารา วูดเวิร์ด ผู้แทนถาวรสหราชอาณาจักรประจำสหประชาชาติ ย้ำถ้อยแถลงของนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติว่า การกระทำของรัสเซียละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดเจน และต้องถูกประณาม “พื้นที่ที่รัสเซียกล่าวอ้างว่าเป็นดินแดนที่ต้องผนวกเข้าเป็นของรัสเซียนั้นมีขนาดกว่า 90,000 ตารางกิโลเมตร นี่เป็นการผนวกดินแดนที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา และประเด็นนี้ไม่สามารถประนีประนอมได้”

 

ก่อนหน้านี้ รัสเซียอ้างว่า ผลการทำประชามติในแคว้น 4 ของยูเครนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกองกำลังรัสเซีย แสดงให้เห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับรัสเซีย โดยขนาดของพื้นที่ทั้งหมดของ 4 แคว้นดังกล่าว มีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 หรือราว ๆ 15% ของพื้นที่รวมของประเทศยูเครน พร้อมทั้งยังขู่ไว้ล่วงหน้าด้วยว่า ประเทศใดก็ตามที่รุกรานเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับการผนวกเข้ากับรัสเซียแล้วนั้นจะถือเป็นการโจมตีต่อรัสเซีย

 

นอกจากนี้ ปธน.ปูติน ยังเอ่ยปากด้วยว่า เขาพร้อมจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อปกป้อง “บูรณภาพแห่งดินแดน” ที่เป็นของรัสเซียด้วย

 

ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ออกมาเตือนว่า ความไม่ละอายของปูตินที่ยึดดินแดนของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างไม่ชอบธรรม จะไม่มีวันหยุดยั้งนาโตที่จะให้ความสนับสนุนยูเครนต่อไป อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เขายังระบุด้วยว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดของปูตินได้ทำให้โลกขยับอีกก้าวใกล้ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์