รถไฟพลังไฮโดรเจน หรือ รถไฟรักษ์โลก 14 ขบวนใหม่นี้ ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากปฏิกิริยาระหว่าง ไฮโดรเจน และออกซิเจน จึงไม่มีการปล่อยควันหรือไอเสีย (emissions-free) อีกทั้งยังไม่ก่อเสียงดังอีกด้วย (low-noise) มีเพียงไอน้ำและหยดน้ำจากการควบแน่นที่ถูกปล่อยออกมา
รัฐบาลเยอรมนี สนับสนุนการเพิ่มการใช้รถไฟพลังไฮโดรเจน เพื่อเป็นทางเลือกของ พลังงานสะอาด ทดแทนการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะและไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการดังกล่าวที่ใช้งบประมาณ 93 ล้านยูโร หรือราว 3,300 ล้านบาท นับเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของรัฐรัฐโลเวอร์ แซกโซนี ในการผลักดันการพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ รถไฟพลังงานไฮโดรเจนภายใต้ชื่อ โคราเดีย ไอลินท์ (Coradia iLint) ผลิตโดย บริษัทรถไฟอัลสตอม (Alstom) จากประเทศฝรั่งเศส เส้นทางวิ่งระหว่างเมือง Cuxhaven, Bremerhaven, Bremervoerde และ Buxtehude
พันธมิตรผู้ร่วมโครงการรายอื่นๆ นอกเหนือจากอัลสตอม ประกอบด้วย
การนำรถไฟพลังงานไฮโดรเจน 14 ขบวนมาใช้ครั้งนี้ จะทดแทนการใช้รถไฟพลังเชื้อเพลิงดีเซลจำนวน 15 ขบวน โดยจะนำมาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วย 5 ขบวนแรกในวันพุธที่ผ่านมา (23 ส.ค.) จากนั้นจึงจะใช้ทั้ง 14 ขบวนภายในสิ้นปีนี้
รายงานข่าวระบุว่า รถไฟขบวนใหม่นี้ เมื่อใช้พลังงานไฮโดรเจน 1 กิโลกรัม สามารถวิ่งได้ระยะเส้นทางพอๆกับการใช้น้ำมันดีเซล 4.5 กิโลกรัม
รถไฟขบวนโคราเดีย ไอลินท์ ได้รับการออกแบบให้วิ่งบนทางรถไฟที่ไม่ใช้ไฟฟ้าด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เดินทางได้ระยะทางประมาณ 1,000 กิโลเมตรต่อการใช้ไฮโดรเจน 1 ถัง ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงดีเซลได้ราว 1.6 ล้านลิตรต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีสถานีเติมไฮโดรเจน 1 แห่งดำเนินการโดยบริษัท ลินเดอ พันธมิตรโครงการ ตั้งอยู่บนเส้นทางเพื่อให้บริการ
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า โครงการนี้มีความริเริ่มโดยฝ่ายบริษัท แอลวีเอ็นจี มาตั้งแต่ปี 2012 จากนั้นก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างจนสามารถทดลองวิ่งเพื่อเป็นการทดสอบระบบครั้งแรกใน 2018 โดยใช้เวลาทดสอบ 2 ปี นอกจากในประเทศเยอรมนีแล้ว ยังมีการทดสอบวิ่งบนรางรถไฟที่ไม่ใช้ไฟฟ้าในประเทศออสเตรีย โปแลนด์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์อีกด้วย
รัฐบาลรัฐโลเวอร์แซกโซนี คาดหวังว่าโครงการรถไฟพลังไฮโดรเจนขบวนนี้จะเป็นต้นแบบสำหรับการเดินรถไฟของทั้งโลก “นี่คือการปูอิฐก้อนแรกบนเส้นทางสายใหม่สำหรับวงการขนส่งที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (climate neutrality)”