อัพเดตมาตรการเข้าประเทศญี่ปุ่น ต้องฉีดวัคซีนไหม แสดงผลตรวจโควิดหรือเปล่า

24 ส.ค. 2565 | 08:11 น.

ญี่ปุ่นประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในวันนี้ (24 ส.ค.) อนุญาตคนฉีดวัคซีน 3 เข็มเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องตรวจเชื้อก่อนเดินทาง มีผลตั้งแต่ 7 ก.ย. 2565 และนอกเหนือจากนี้ ยังผ่อนปรนอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง เรารวบรวมไว้ให้แล้ว

จากกรณี นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นประกาศ ผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในวันนี้ (24 ส.ค.) โดยระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ย. 2565 เป็นต้นไป ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคโควิด-19 ครบ 3 เข็มแล้ว สามารถ เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ได้โดยไม่ต้องทำการตรวจหาเชื้อก่อนเดินทาง

 

ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนครบ 3 โดส (3 เข็ม) และยี่ห้อวัคซีนที่ญี่ปุ่นยอมรับนั้น ได้แก่ Pfizer 3 เข็ม, Moderna 3 เข็ม, Novavax 3 เข็ม, AZ 2 เข็มแรก (เข็มที่ 3 ต้องเป็น Pfizer, Moderna, Novavax), Covaxin 2 เข็มแรก (เข็มที่ 3 ต้องเป็น Pfizer, Moderna, Novavax)  Johnson & Johnson 1 เข็ม

 

เตรียมเปิดโอกาสให้ผู้เดินทางเข้าประเทศ ไม่ต้องแสดงผลตรวจโควิด

ปัจจุบันญี่ปุ่นกำหนดให้นักเดินทางที่ต้องการเข้าญี่ปุ่นทุกคน ต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)โดยจะต้องตรวจในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังเดินทางออกจากประเทศต้นทางมาถึงญี่ปุ่น แต่เมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) รัฐบาลญี่ปุ่นให้ข่าวว่า กำลังพิจารณาจะยกเลิกมาตรการเข้มงวดดังกล่าว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายที่ญี่ปุ่นมีแผนจะประกาศให้โควิด-19 เป็น "โรคประจำถิ่น" ซึ่งจะทำให้ฝ่ายการแพทย์ไม่ต้องถูกกำหนดให้ต้องรายงานอย่างละเอียดเกี่ยวกับผู้ป่วยโควิดอีกต่อไป

 

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศร่ำรวยประเทศสุดท้ายในโลก ที่ยังคงใช้มาตรการเข้มงวดในการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งผลก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ทั้งการระบาดของโควิดและมาตรการรับมือที่เข้มงวดสูง ส่งผลให้ปี 2564 มีนักท่องเที่ยวไปเยือนญี่ปุ่นเพียงจำนวนน้อยนิด รายได้จากการท่องเที่ยวหดหายเหลือเพียง 120,000 ล้านเยน นับว่าดิ่งมากเมื่อเทียบกับปี 2019 (ซึ่งเป็นปีก่อนที่โควิด-19 จะระบาด และเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวญี่ปุ่นอยู่ในภาวะเจริญรุ่งเรือง) ที่ญี่ปุ่นทำรายได้สูงสุดทุบสถิติที่ระดับ 4.8 ล้านล้านเยนในปีนั้น หรือสูงกว่า 40 เท่าของปัจจุบัน

 

ขยายเพดาน เพิ่มการรับผู้เดินทางเข้าประเทศ/วัน

นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีเพิ่มเติมคือ นายคิชิดะยังเปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาและจะตัดสินใจในเร็ว ๆนี้ เกี่ยวกับการ “เพิ่มเพดาน” การรับนักเดินทางรายวันจากต่างประเทศ ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบันซึ่งกำหนดไว้ที่ 20,000 คนต่อวัน

 

โดยการเพิ่มจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศตามมาตรการผ่อนคลายนี้ จะทำอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป” ยกตัวอย่างเช่น จะเริ่มยกเว้นให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้วก่อนเป็นกลุ่มแรก

ก่อนหน้านี้ สื่อท้องถิ่นของญี่ปุ่นรายงานว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาจะเพิ่มจำนวนการรับนักเดินทางเข้าประเทศจากปัจจุบัน 20,000 คนต่อวันเป็น 50,000 คนต่อวัน แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน

 

ก่อนจะถึงวันที่ 7 ก.ย. 2565 ซึ่งเป็นวันดีเดย์มาตรการผ่อนผันที่ผู้เดินทางไม่ต้องแสดงผลการตรวจโควิดอีกต่อไป (หากฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม) เรามาตรวจดูเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ คลิกที่นี่ (อัพเดทญี่ปุ่นเปิดประเทศ รับนักเดินทางเพิ่ม "5 เรื่องต้องรู้" ก่อนไปญี่ปุ่น)

 

ลดระดับคำเตือนการเดินทาง

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงในวันนี้เช่นกันว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ลดระดับคำเตือนการเดินทางเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับ 54 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งรวมถึงอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ยังยกเลิกคำเตือนที่ให้ชาวญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศเหล่านั้น หากไม่จำเป็น

 

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นได้ปรับลดคำเตือนด้านการเดินทางของ 54 ประเทศดังกล่าวลงสู่ระดับ 1 จากเดิมที่ระดับ 2 แต่ยังคงแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นที่จะเดินทางไปยังประเทศเหล่านี้ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ

 

ในบรรดา 54 ประเทศที่ได้รับการปรับลดคำเตือนเรื่องการแพร่ระบาดในครั้งนี้

  • มี 23 ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา เช่น อียิปต์และแอฟริกาใต้
  • 11 ประเทศจากยุโรปซึ่งรวมถึงยูเครนและรัสเซีย
  • 10 ประเทศจากเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงปากีสถานและเมียนมา และ
  • 10 ประเทศจากภูมิภาคลาตินอเมริกา

 

นอกจากนี้ ยังมี 41 ประเทศที่ได้รับการปรับลดคำเตือนการเดินทางจากระดับ 3 ลงสู่ระดับ 2 ซึ่งในจำนวนนี้

  • มี 33 ประเทศจากตะวันออกกลางและแอฟริกา
  • 4 ประเทศจากภูมิภาคแคริบเบียน
  • 3 ประเทศจากยุโรปตะวันออก และคาซัคสถาน

(คำเตือน 4 ระดับของญี่ปุ่นมีอะไรบ้าง คลิกที่นี่)

 

อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นยังคงแนะนำให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทุกครั้งก่อนที่จะเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19