สหรัฐกลับมาซัดกับจีนทางการค้า หลังฮึ่มใส่กันกรณีไต้หวัน

11 ส.ค. 2565 | 17:05 น.

ชนวนเหตุความขัดแย้งกรณีไต้หวัน ทำให้รัฐบาลสหรัฐหันกลับมาทบทวนการต่ออายุมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แย้มไต๋ว่าอาจยกเลิกกำแพงภาษีสินค้าจีนที่มีมาตั้งแต่ยุคอดีตปธน.ทรัมป์ เป้าหมายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง จีน และ ไต้หวัน ล่าสุดนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จำเป็นต้องทบทวนแผนการจัดเก็บภาษีว่า จะ ยกเลิกภาษี บางส่วนหรือบังคับใช้ มาตรการทางภาษี อื่น ๆ เพิ่มเติมกับจีน

 

บทวิเคราะห์จากสำนักข่าวรอยเตอร์เผยว่า คณะทำงานของปธน.ไบเดนพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะผ่อนคลายมาตรการด้านภาษีที่บังคับใช้กับสินค้าที่นำเข้าจากจีนในสมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป้าหมายก็เพื่อทำให้ต้นทุนนำเข้าสินค้าลดลงและสกัดภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น

 

นอกจากนี้ ยังพิจารณาถึงแนวทางการยกเลิกการจัดเก็บภาษีบางรายการ โดยจะมีการตรวจสอบการจัดเก็บภาษีอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกครั้งตามมาตรา 301 รวมถึงขยายรายการสินค้าที่ยกเว้นภาษีเพื่อช่วยเหลือบริษัทของสหรัฐที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนเท่านั้น

ความขัดแย้งกรณีไต้หวัน ทำให้สหรัฐหันกลับมาทบทวนเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ปธน.ไบเดนยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ โดยแนวทางต่าง ๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ขณะที่มาตรการจัดเก็บภาษีทำให้บริษัทในสหรัฐต้องนำเข้าสินค้าจากจีนแพงขึ้น และทำให้ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การลดอัตราเงินเฟ้อลงก็เป็นเป้าหมายหลักของปธน.ไบเดนก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพ.ย.นี้

 

แนวโน้มมาเช่นนั้นจนกระทั่งทางการจีนได้ออกมาซ้อมรบเพื่อตอบโต้การเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐต้องหันมาทบทวนนโยบายดังกล่าวมาอีกรอบ

 

รอยเตอร์รายงานว่า สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) กำลังอยู่ระหว่างการทบทวนมาตรการจัดเก็บภาษีเป็นระยะเวลา 4 ปีที่บังคับใช้สมัยของอดีตปธน.ทรัมป์เมื่อปี 2561 โดยคาดว่าจะใช้เวลาอีก 2-3 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ คาดว่าการทำประชามติรับฟังความเห็นสาธารณะในขั้นสุดท้าย ว่าจะยังคงมาตรการกำแพงภาษีสินค้าจีนไว้หรือไม่นั้น มีกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 23 ส.ค.นี้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่คำสั่งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 3.50 แสนล้านดอลลาร์หมดอายุลงในวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลของปธน.ไบเดนอาจจะไม่ขยายระยะเวลาการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐกำลังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

 

เรื่องนี้ได้รับความสนับสนุนจากนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐที่เห็นชอบด้วยว่าควรจะให้มีการปรับลดอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีน เนื่องจากคำสั่งของอดีตปธน.ทรัมป์นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจสหรัฐ

 

ขณะที่สถาบันปีเตอร์สันในสหรัฐคาดการณ์ว่า การปรับลดอัตราภาษีต่อสินค้าจีนจะช่วยให้ชาวอเมริกันประหยัดเงินได้ราว 800 ดอลลาร์สำหรับแต่ละครัวเรือน

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่คัดค้านก็ยังคงมีอยู่ซึ่งรวมถึงกลุ่มสหภาพแรงงานที่นำโดยยูไนเต็ดสตีลเวิร์กเกอร์ (United Steelworkers) ที่ออกมาเรียกร้องให้ USTR ดำเนินการเก็บภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีนต่อไป เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการแข่งขันสำหรับแรงงานในสหรัฐและลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์จากจีน

 

บทสรุปจะเป็นอย่างไร  แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า ปธน.ไบเดนเองก็มีความกังวลเรื่องการผ่อนปรนด้านภาษีให้กับสินค้าจีน สาเหตุส่วนหนึ่งนั้นมาจากแรงงาน ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครต ขณะเดียวกันจีนเองก็ไม่สามารถทำตามข้อตกลงในการซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นตามที่รับปากเอาไว้ ดังนั้น จนถึงขณะนี้ทำเนียบขาวยังคงปฏิเสธที่จะกำหนดกรอบเวลาว่า จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายในเรื่องนี้เมื่อใดกันแน่