คลื่นความร้อนโจมตียุโรป อุณหภูมิทะลุ 40 องศาเซลเซียส ไฟป่าลุกลามหลายประเทศ

17 ก.ค. 2565 | 01:05 น.

คลื่นความร้อนโจมตียุโรป อุณหภูมิทะลุ 40 องศาเซลเซียส อังกฤษประกาศเตือนภัยความร้อน ระดับขั้นสีแดง ส่วนไฟป่าลุกลามในหลายประเทศ ประชาชนต้องอพยพนับหมื่นคน

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.65 นายชวลิต จันทรรัตน์  ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีมคอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Chawalit Chantararat " โดยระบุว่า คลื่นความร้อนโจมตียุโรปอย่างหนัก เกิดไฟป่าลุกลามในหลายประเทศ คนนับหมื่นต้องอพยพ ทั้งฝรั่งเศส  สเปน และ โปรตุเกส ทำให้ประชาชนต้องอพยพนับหมื่นคน และมีผู้เสียชีวิตเพราะความร้อนแล้วหลายร้อยราย โดยคลื่นความร้อนนี้เคลื่อนที่แผ่มาจากอัฟริกาเหนือผ่านสเปน และอิตาลีไปถึงฝรั่งเศส และอังกฤษ 


 . . ที่สเปน มีอุณหภูมิสูงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 สูงสุด 42 อาศาเซลเซียส และเกิดไฟป่าลุกลามในหลายพื้นที่เป็นวันที่ 4 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 84 คนแล้ว (ถึง 16 กรกฎาคม 2565)

อังกฤษประกาศเตือนภัยความร้อน ระดับขั้นสีแดงเป็นครั้งแรก หลังพบว่าอุณหภูมิในหลายเมืองรวมถึงลอนดอน อาจพุ่งทะลุถึง 40 องศาเซลเซียสในสัปดาห์หน้านี้


โดยที่เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาคลื่นความร้อนได้ทำให้เกิดอุณภูมิสูงสุดเท่าที่เคยมีข้อมูล(New Highs) มาแล้วในอังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปน โดยเมื่อ 16 มิถุนายน 2565 ที่เมืองตูลุส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส มีอุณหภูมิสูงถึง 45.5 องศาเซลเซียสมาแล้ว

. . เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่อุณหภูมิสูงถึง 40 อาศาเซลเซียสแล้ว จีนได้ประกาศเตือนภาวะคลื่นความร้อน ที่คาดว่าจะทำให้มีอุณหภูมิสูงอย่างผิดปกติเกิดขึ้นใน 70 เมือง ทั้งเซี้ยงไฮ้ ฉงชิ่ง และเสฉวน


. . Clare Nullis โฆษกองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก(World Meteorological Organization) เตือนว่า คลื่นความร้อนที่ทำให้เกิดอุณหภูมิสูงเกินระดับปกตินี้ เกิดจากภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง(Climate Change) ที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน ที่จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนได้บ่อยครั้งยิ่งขึ้น และจะรุนแรงยิ่งขึ้นหากยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากอย่างต่อเนื่อง อันจะมีผลให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส(เทียบกับปี ค.ศ.1988 ที่เริ่มมีการปฏิวัติอุตสาหกรรม) ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อโลกอย่างรุนแรงในหลายๆ ด้าน

(ขอขอบคุณข้อมูลจาก Reuter, AFP, Al Jazeera และ TNN)

 

ที่มา : เฟซบุ๊ก Chawalit Chantararat