อัพเดทฝีดาษลิง ลามกว่า 20 ประเทศ ล่าสุดถึงอาร์เจนตินา รายแรกในลาตินอเมริกา

27 พ.ค. 2565 | 23:06 น.

"ฝีดาษลิง" โผล่อาร์เจนตินา นับเป็นการพบผู้ติดเชื้อรายแรกในลาตินอเมริกา หลัง WHO เผยมีผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วเกือบ 200 รายในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก  ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกต การติดเชื้อส่วนใหญ่พบในกลุ่มเกย์และกลุ่มชายไบเซ็กชวล หรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน

อัพเดทสถานการณ์ล่าสุดการแพร่ระบาด ของ โรคฝีดาษลิง กระทรวงสาธารณสุขอาร์เจนตินาออกแถลงการณ์วานนี้ (27 พ.ค.) ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบ ผู้ติดเชื้อฝีดาษลิง เป็นรายแรกในประเทศ และถือเป็นรายแรกในลาตินอเมริกาด้วย

 

แถลงการณ์ระบุว่า ผู้ติดเชื้อรายนี้ยังคงมีสุขภาพดี และเจ้าหน้าที่ได้ทำการกักตัวผู้ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อดังกล่าวไว้แล้วเพื่อสังเกตอาการต่อไป

 

นอกจากนี้ อาร์เจนตินายังรายงานการตรวจพบผู้ต้องสงสัยติดเชื้อฝีดาษลิงอีก 1 ราย ซึ่งเป็นชาวสเปนที่ได้เดินทางเข้าประเทศอาร์เจนตินาเมื่อวันพุธ (25 พ.ค.) และขณะนี้อยู่ภายใต้กระบวนการกักตัว

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (27 พ.ค.) ว่า จนถึงบัดนี้ มีการพบผู้ป่วย monkeypox หรือ ฝีดาษลิง แล้วเกือบ 200 รายในกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เคยพบการระบาดของโรคนี้มาก่อน โดยการพบผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสเปน อังกฤษ และโปรตุเกส  อย่างไรก็ตาม WHO ยืนยันว่า สถานการณ์ในปัจจุบันยังสามารถควบคุมได้ และเสนอให้มีการสร้างคลังวัคซีนและยากลุ่มที่มีจำกัดเพื่อการแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมกันไปทั่วโลก

WHO ชี้แจงว่า ยังมีคำถามมากมายที่รอคำตอบเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดของฝีดาษลิงนอกพื้นที่แอฟริกา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ขอยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงในพันธุกรรมของไวรัสตัวนี้จนทำให้การระบาดปะทุขึ้นมา

 

แพทย์หญิง ซิลวี ไบรแอนด์ ผู้อำนวยการด้านโรคระบาดและโรคระบาดใหญ่ของ WHO กล่าวว่า การถอดรหัสเชื้อไวรัสนี้แสดงให้เห็นว่า สายพันธุ์ของไวรัสที่พบในผู้ติดเชื้อใหม่ ๆ นั้นไม่ได้แตกต่างจากสายพันธุ์ของไวรัสฝีดาษลิงที่มีการพบในประเทศที่มีการระบาดเฉพาะถิ่นอยู่ก่อนหน้า และการระบาดครั้งนี้ น่าจะเกิดขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงใน “พฤติกรรมมนุษย์” มากกว่า

 

การติดเชื้อส่วนใหญ่พบในกลุ่มเกย์และกลุ่มชายไบเซ็กชวล

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ปรึกษาระดับสูงรายหนึ่งของ WHO กล่าวว่า การระบาดในยุโรป สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ออสเตรเลีย และพื้นที่อื่น ๆ นั้น น่าจะมีความเชื่อมโยงกับกรณี “เพศสัมพันธ์” ในงานใหญ่ 2 งานที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่สเปนและเบลเยียม

 

ความเห็นดังกล่าวบ่งชี้ถึงพัฒนาการที่มีนัยสำคัญจากรูปแบบปกติของโรคฝีดาษลิงที่พบในแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนมักได้รับเชื้อมาจากสัตว์ เช่น สัตว์จำพวกหนู และสัตว์ในตระกูลลิง โดยไม่เคยพบการระบาดข้ามพรมแดนจากพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในส่วนของตัวเลขผู้ป่วยล่าสุดที่ WHO ระบุว่า มีเกือบ 200 รายนั้น มีบางฝ่ายเชื่อว่า ตัวเลขที่แท้จริงนั้นน่าจะสูงกว่าที่มีรายงานออกมา โดยทางการสเปนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (27 พ.ค.) ว่า จำนวนผู้ป่วยเพิ่งเพิ่มขึ้นเป็น 98 ราย และหนึ่งในนั้นเป็นผู้ป่วยสตรี ซึ่งรายงานข่าวระบุว่า เธอได้รับเชื้อมาโดยตรงจากห่วงโซ่ของการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสที่ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า พบในกลุ่มผู้ป่วยชายเท่านั้น

 

แพทย์ในอังกฤษ สเปน โปรตุเกส แคนาดา สหรัฐฯ และที่อื่นๆ รายงานว่า การติดเชื้อส่วนใหญ่นั้นพบในกลุ่มเกย์และกลุ่มชายไบเซ็กชวล หรือชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน แต่รายงานข่าวระบุว่า รสนิยมทางเพศไม่ได้เป็นประเด็นเดียวที่ทำให้ติดโรคนี้ และนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า ไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อผู้ใดก็ได้ หากไม่มีการเร่งควบคุม

 

อย่างไรก็ดี รายงานที่ระบุว่า การพบผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงส่วนใหญ่ในยุโรปนั้นเป็นกรณีผู้ป่วยชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม LGBTQ หรือ กลุ่มเพศทางเลือก มีความกังวลว่า จะเกิดกระแสต่อต้านรังเกียจกับชุมชนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อกรุงมาดริดกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน Gay Pride ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดว่า จะมีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก หลังจากการจัดงานต้องเป็นไปในรูปแบบจำกัดหรือถูกยกเลิกไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

 

นายแพทย์ อันเดร อันติโนริ ผู้อำนวยการแผนกผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องจากไวรัส จากโรงพยาบาล สปาลลันซานิ ในกรุงโรม กล่าวว่า ในกรณีผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศนั้น ในเวลานี้ยังไม่มีใครสามารถให้คำจำกัดความได้เลยว่า โรคนี้ (ฝีดาษลิง) เป็นโรคที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว ดังนั้น เขาจึงเห็นว่า ควรจะหลีกเลี่ยงการสรุปความดังกล่าวไปก่อน

 

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทุกคนสามารถติดเชื้อไวรัสฝีดาษลิงได้หากมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย หรือแม้แต่ผ่านทางเสื้อผ้า หรือผ้าปูที่นอน ขณะที่ ผู้ติดเชื้อนั้นสามารถหายป่วยภายใน 2-4 สัปดาห์ โดยไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม  WHO เตือนว่า เมื่อเร็ว ๆนี้ มีการพบว่า มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงราว 3-6% ที่อาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต