เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 4/2564 แกร่งเกินคาด ไบเดนเดินหน้าดันแผนกระตุ้นฯ

28 ม.ค. 2565 | 01:04 น.

เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาสสุดท้ายของปี 64 โตเกินคาด ที่อัตรา 6.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 5.5% จากแรงหนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ปธน.ไบเดนใช้โอกาสนี้เรียกร้องคองเกรสเร่งคลอดร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจเสริมเขี้ยวเล็บการแข่งขัน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/64 เมื่อวานนี้ (27 ม.ค.) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐ มีการขยายตัว 6.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 5.5% โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งการที่ภาคธุรกิจเพิ่มเติมสต็อกสินค้าคงคลัง

 

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐเติบโต 6.3% ในไตรมาส 1 และ 6.7% ในไตรมาส 2 ก่อนที่จะชะลอตัวสู่ 2.3% ในไตรมาส 3 ของปี 2564 เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบในภาคการผลิต ซึ่งกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายรถยนต์ และตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง

 

เมื่อพิจารณาทั้งปี 2564 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 5.7% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2527 หลังจากที่หดตัว 3.4% ในปี 2563 ซึ่งเป็นการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2489 ซึ่งสาเหตุหลักเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั่นเอง

เร่งคองเกรสผ่านร่างกม. Build Back Better

ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีต่อการที่เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/64 พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของเขากำลังจะบรรลุผล

 

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชื่อว่า “Build Back Better Act” ซึ่งริเริ่มโดยปธน.ไบเดนนั้น ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐแล้วในปีที่ผ่านมา (2564) แต่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา ปธน.ไบเดนเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันให้กับสหรัฐอเมริกา

โจ ไบเดน

"ผมขอเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งผ่านร่างกฎหมายที่จะทำให้สหรัฐสามารถแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งยังจะช่วยแก้ปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความแข็งแกร่งแก่ภาคการผลิตและนวัตกรรม เพิ่มการลงทุนในพลังงานสะอาด และลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน" แถลงการณ์ของปธน.ไบเดนระบุ

 

สำหรับร่างกฎหมาย Build Back Better วงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์นั้น ยังคงติดค้างอยู่ในวุฒิสภาสหรัฐ เนื่องจากนายโจ แมนชิน แกนนำวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว โดยอ้างว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับสหรัฐ ซึ่งท่าทีดังกล่าวของนายแมนชินจะส่งผลให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอในวุฒิสภา แม้ว่าจะผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วในปี 2564

ดอลลาร์เด้งขานรับข่าวเศรษฐกิจแกร่ง

ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นวานนี้ (27 ม.ค.) ขานรับเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด โดย ณ เวลา 22.25 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.65% สู่ระดับ 115.37 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.19% สู่ระดับ 128.56 เยน และร่วงลง 0.82% สู่ระดับ 1.115 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 1.28% สู่ระดับ 97.18

 

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้ออีกด้วย  

เจอโรม พาวเวลล์

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

 

อีกตัวเลขสถิติที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแรงขึ้นของสหรัฐ โดยมีการเผยแพร่เมื่อวานนี้ (26 ม.ค.) คือ ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานที่ต่ำกว่าคาด โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 30,000 ราย สู่ระดับ 260,000 รายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 270,000 ราย อย่างไรก็ดี ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงสูงกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา

 

นักวิเคราะห์ของวาณิชธนกิจโกลด์แมน แซคส์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ (2565) ว่า หากร่างกฎหมาย Build Back Better ถูกขัดขวางในวุฒิสภาก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวในปี 2565 ต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เนื่องจากร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ครอบคลุมถึงงบประมาณของรัฐบาลจำนวนมากในการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน

 

ในกรณีดังกล่าว โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรกของปี 2565 ลงสู่ระดับ 2% จากเดิมที่ระดับ 3% และปรับลดคาดการณ์สำหรับไตรมาส 2 และ 3 ลงสู่ระดับ 3% และ 2.75% ตามลำดับ จากเดิมที่ระดับ 3.5% และ 3%