โอมิครอนยิ่งถ่างความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพ วิชาชีพพยาบาลถูกแย่งชิงตัว   

สภาการพยาบาลสากล (ICN) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน ได้ผลักดันให้บรรดาประเทศร่ำรวยเพิ่มการว่าจ้าง พยาบาลอาชีพ รวมทั้ง อาสาสมัครด้านสาธารณสุข จากกลุ่มประเทศยากจน ซึ่งทำให้ภาวะขาดแคลนบุคลากรในประเทศเหล่านั้นทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

นายโฮเวิร์ด แคตตอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สภาการพยาบาลสากล (ICN) ซึ่งเป็นตัวแทนของพยาบาล 27 ล้านคน และองค์กรระดับชาติอีก 130 แห่ง กล่าวว่า ความเจ็บป่วย ความเหนื่อยล้า และการลาออกของบุคลากรในแวดวงพยาบาลท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่พุ่งสูงขึ้น ได้ส่งผลให้อัตราผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทะยานสู่ระดับสูงสุดในช่วงการเกิดโรคระบาดที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 2 ปีแล้ว

นายแคตตอนกล่าวว่า เพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว หลายประเทศในโลกตะวันตกได้แก้ปัญหาด้วยการว่าจ้างบุคลากรกองทัพและอาสาสมัคร ตลอดจนผู้เกษียณอายุ ขณะเดียวกัน บางประเทศยังเร่งว่าจ้างบุคลากรพยาบาลต่างชาติเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กระแสความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพรุนแรงมากยิ่งขึ้น

"เราเห็นการจ้างบุคลากรต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศต่าง ๆ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดาและสหรัฐอเมริกา ผมกังวลจริง ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่เราเคยเห็นจากกรณีที่บรรดาประเทศร่ำรวยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจซื้อและกักตุนชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และวัคซีน หากประเทศเหล่านี้ดำเนินการลักษณะเดียวกันต่อบุคลากรพยาบาล ก็จะทำให้ความไม่เท่าเทียมทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น" นายแคตตอนกล่าว

สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยข้อมูลของ ICN ว่า เกิดภาวะขาดแคลนพยาบาลทั่วโลกอยู่แล้ว 6 ล้านรายตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 โดยเกือบ 90% ของภาวะขาดแคลนดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ในประเทศรายได้ต่ำไปจนถึงรายได้ปานกลาง

นายแคตตอนกล่าวเสริมว่า พยาบาลที่ได้รับการว่าจ้างจากประเทศร่ำรวยในช่วงเร็ว ๆนี้ มาจากภูมิภาคแอฟริกาใต้ รวมถึง ไนจีเรียและบางพื้นที่ของแคริบเบียน โดยพยาบาลเหล่านั้นมักถูกจูงใจโดยเงินเดือนที่สูงขึ้นและเงื่อนไขการทำงานที่ดีกว่าในประเทศของตนเอง