svasdssvasds
logo-pwa

เพิ่ม thansettakij

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด
thansettakij

บิตคอยน์ดิ่งสู่ระดับต่ำสุดรอบกว่า 5 เดือน หลุด 40,000 ดอลลาร์

11 มกราคม 2565

บิตคอยน์ดิ่งลงต่อเนื่องหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์วานนี้ (10 ม.ค.) ก่อนปรับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 41,733.2 ดอลลาร์ เช้าวันนี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐจะทำให้ธนาคารกลาง (เฟด) เร่งการปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะกดดันสภาพคล่องในตลาด

บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.18 น. ของวันนี้ (11ม.ค.) ปรับตัวลง 1.10% เคลื่อนไหวที่ 41,733.2 ดอลลาร์ เป็นการเคลื่อนไหวในแดนลบหลัง ดัชนีดาวโจนส์ ร่วง 162 จุดเหตุถูกกดดันจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในสหรัฐ ทั้งนี้ บิตคอยน์ร่วงลงมากกว่า 5% เมื่อวันจันทร์ (10 ม.ค.) สู่ระดับ 39,558 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ส.ค.2564 เป็นต้นมา

 

นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังทรุดตัวลงมากกว่า 40% นับตั้งแต่ที่พุ่งทำสถิติสูงสุดเหนือระดับ 69,000 ดอลลาร์ในเดือนพ.ย.2564 อย่างไรก็ตาม เช้าตรู่วันนี้ (11 ม.ค.) บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.18 น. เคลื่อนไหวที่ 41,733.2 ดอลลาร์ เป็นการปรับตัวลง 1.10%

 

ความปั่นป่วนในตลาดวอลล์สตรีทนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่ว่า อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐจะกดดันให้ ธนาคารกลาง หรือ เฟด เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค.ที่จะถึงนี้

 

สิ่งที่นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตา คือตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะเปิดเผยในวันพุธนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 6.8% ในเดือนพ.ย.

 

นอกจากนี้ คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะพุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 4.9% ในเดือนพ.ย.

 

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจใหญ่ของสหรัฐ คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้ ซึ่งมากกว่าที่มีการคาดหมายกันไว้เดิมว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง  นอกจากนี้ ยังคาดว่าสหรัฐจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์