อียูสกัดโอมิครอน เร่งผลิตวัคซีนเพิ่ม-อนุมัติใช้ “แพกซ์โลวิด”กรณีฉุกเฉิน

17 ธ.ค. 2564 | 00:24 น.

สหภาพยุโรป (อียู) เร่งมือสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดโอมิครอน ทั้งเพิ่มกำลังผลิตวัคซีนต้านโควิดและอนุมัติใช้ยาเม็ด “แพกซ์โลวิด” เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว

องค์การยาแห่งยุโรป (EMA) ประกาศอนุมัติการเพิ่มกำลังการผลิต วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์/บิออนเทค, โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน ในยุโรปแล้ว

 

นอกจากนี้ EMA ยังได้อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในสหภาพยุโรป (อียู)

 

แถลงการณ์ของ EMA ระบุว่า ประเทศสมาชิกอียูสามารถใช้ยาแพกซ์โลวิดในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 หากมีการตรวจพบการติดเชื้อ

 

การดำเนินการดังกล่าวของ EMA ถือเป็นการอนุมัติอย่างฉุกเฉินเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในยุโรป โดย EMA ยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการอนุมัติตามกฎระเบียบ และยังไม่ได้อนุมัติให้มีการจำหน่ายยาแพกซ์โลวิดในเชิงพาณิชย์

 

ก่อนหน้านี้ บริษัทไฟเซอร์เปิดเผยผลการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายยืนยันว่า ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89%

อียูสกัดโอมิครอน เร่งผลิตวัคซีนเพิ่ม-อนุมัติใช้ “แพกซ์โลวิด”กรณีฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่า ยาแพกซ์โลวิดมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

 

ผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

 

ด้านนายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนกำลังแพร่ระบาดในอัตราที่รวดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์อื่น และมีแนวโน้มที่จะระบาดไปยังทุกประเทศทั่วโลก

 

นอกจากนี้ WHO เปิดเผยว่า หลักฐานเบื้องต้นบ่งชี้ว่า วัคซีนต้านโควิด-19 อาจมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน