บิ๊กข่าวกรองอังกฤษงัดจีน เตือนรัฐบาล “สี” มั่นนักมักพลาด

03 ธ.ค. 2564 | 10:03 น.

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอังกฤษเตือนรัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มั่นใจในตัวเองและลำพองใจมากเกินไป อาจเสี่ยงประเมินสถานการณ์ผิดพลาดบนเวทีโลกได้ พร้อมย้ำว่า จีนไม่ควรดูแคลนความมุ่งมั่นของสหรัฐมากเกินไป

นายริชาร์ด มัวร์ ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองลับ หรือ SIS แห่งสหราชอาณาจักร หรือรู้จักในอีกชื่อว่า MI6 ขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรกในกรุงลอนดอนเมื่อวันอังคาร (30 พ.ย.) ก็เรียกเสียงฮือฮา เมื่อเขากล่าวพาดพิงท่าทีของรัฐบาลจีน และยังเตือนว่าเวลานี้ ประเทศจีน และ รัสเซีย กำลังแข่งขันกันเพื่อช่วงชิงความเป็น ผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้งสมองกลอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และควอนตัมคอมพิวเตอร์

 

ผู้เชี่ยวชาญในวงการข่าวกรองทั้งจากสหรัฐไปจนถึงรัสเซีย กำลังรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของจีนสู่ความเป็นสุดยอดมหาอำนาจ ที่กล้าท้าทายอิทธิพลหลังสงครามเย็นของสหรัฐ ทั้งด้านการทหาร เศรษฐกิจ และการจารกรรมข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้น

ริชาร์ด มัวร์

สิ่งที่ MI6 ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ การรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากอิทธิพลของการทะยานขึ้นมามีบทบาทของจีน” มัวร์ วัย 58 ปี กล่าวปาฐกถาในกรุงลอนดอน นอกจากนี้ เขายังระบุด้วยว่า ประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือท่าทีของจีนที่ย่ามใจมากขึ้นเกี่ยวกับความพยายามจัดการทำไต้หวัน ซึ่งจีนเคยระบุว่า พร้อมจัดการปัญหาไต้หวัน “ด้วยกำลังหากจำเป็น” ซึ่งท่าทีเช่นนี้ มัวร์ระบุว่า “เป็นภัยอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพและสันติภาพโลก”

นอกจากท่าทีแข็งกร้าวต่อไต้หวันแล้ว จีนยังจัดการกับฮ่องกงด้วยการออกกฎหมายลิดรอนสิทธิประชาชนฮ่องกง ขณะเดียวกันก็ใช้ความรุนแรงกำราบชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในซินเจียง มัวร์ยังกล่าวด้วยว่า จีนกำลังพยายามบิดเบือนประเด็นสาธารณะและการตัดสินใจทางการเมืองในหลายประเทศทั่วโลก

 

อย่างไรก็ดี มัวร์เตือนว่า จีนไม่ควรดูถูกสหรัฐมากเกินไป “จีนเชื่อในหลักการของตนเองว่า ชาติตะวันตกนั้นอ่อนแอ และดูถูกความมุ่งมั่นของรัฐบาลสหรัฐ” ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ จีนก็อาจสุ่มเสี่ยงที่จะประเมินสถานการณ์ผิดพลาดได้ เพราะมั่นใจในตัวเองมากเกิน”

 

ทั้งนี้ สถานทูตจีนในกรุงลอนดอน ยังไม่ได้ออกมาตอบโต้การปราศรัยโจมตีจีนของผู้อำนวยการ MI6 แต่อย่างใด ซึ่งโดยปกติแล้ว จีนมักจะตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ของต่างชาติอย่างเผ็ดร้อนและมักจะย้ำว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นได้ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนจีนให้หลุดพ้นจากความยากจนแล้วจำนวนหลายร้อยล้านคน ทั้งยังปฏิเสธมาโดยตลอดว่า จีนไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ส่วนกรณีของฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจีน แม้จะเคยเป็นอดีตอาณานิคมของอังกฤษ จีนย้ำว่าปัจจุบันฮ่องกงก็ยังตกอยู่ภายใต้การคุกคามของกลุ่มที่พยายามคิดจะแบ่งแยกดินแดนฮ่องกงออกจากจีน  

จีนทุ่มเททั้งเงินลงทุนและความมุ่งมั่นทั้งหมดทั้งมวลให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

 

ในตอนหนึ่งของถ้อยแถลง มัวร์ยังกล่าวว่า ย้อนไปในปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ.2522) ขนาดเศรษฐกิจของจีนเล็กกว่าขนาดเศรษฐกิจของอิตาลีในสมัยนั้นด้วยซ้ำ  แต่หลังจากที่จีนเปิดประตูรับนักลงทุนต่างชาติและปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยระบบกลไกตลาด เศรษฐกิจของจีนก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วชนิดที่ยากจะหาชาติใดมาเทียบเทียม จนปัจจุบันกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองแต่เพียงสหรัฐอเมริกา

 

มัวร์ซึ่งเข้าทำงานในหน่วยข่าวกรอง MI6 ของสหราชอาณาจักรมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 เคยทำงานในแวดวงการทูตและผ่านการประจำการในเวียดนาม ตุรกี ปากีสถาน และอิหร่านมาแล้ว เขามองอนาคตข้างหน้าว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงทศวรรษหน้าจะทำให้โลกรุดหน้าก้าวล้ำพัฒนาการใด ๆที่เคยมีตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้จีนและรัสเซีย ทุ่มเททั้งเงินลงทุนและความมุ่งมั่นทั้งหมดทั้งมวลให้กับการพัฒนาความเชี่ยวชาญในด้านสมองกลอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ควอนตัมคอมพิวเตอร์ ชีววิทยาสังเคราะห์ เพราะรู้ดีว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ หากก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือกำความเชี่ยวชาญได้เมื่อไหร่ ก็จะมีแต้มได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้นเท่านั้น    

 

ข้อมูลอ้างอิง