“อีลอน มัสก์” ทำหุ้นเทสลาดิ่ง 2 วัน ความรวยลดจิ๊บๆ 1.6 ล้านล้าน

10 พ.ย. 2564 | 17:29 น.

“อีลอน มัสก์” นายใหญ่เทสลา (Tesla) ทุบสถิติเศรษฐีโลกที่มูลค่าสินทรัพย์วูบแรงที่สุด ความรวยหายวับ 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาทภายในสองวัน! หลังราคาหุ้นเทสลาปิดร่วงติดต่อกันในช่วงต้นสัปดาห์ ซึ่งเป็นการร่วงหนักสุดในรอบ 14 เดือน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มูลค่า บริษัท "เทสลา อิงค์" (Tesla Inc.) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ตามการประเมินจากราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงเกือบ 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 5.7 ล้านล้านบาท ขณะที่หุ้นของเทสลาร่วงหนักสุดในรอบ 14 เดือน ติดต่อกัน 2 วันรวดนับจากต้นสัปดาห์ (8 พ.ย.) หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของบริษัททวีตโยนหินถามทางเมื่อวันเสาร์ (6 พ.ย.) ส่งสัญญาณว่าจะขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่ในเทสลาออกไปสัก 10%  

 

ข่าวระบุว่า ภายในเวลาเพียง 2 วันที่ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงติดต่อกันในช่วงต้นสัปดาห์ ความร่ำรวยของ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก” ใน ทำเนียบ Bloomberg Billionaires Index ก็วูบหายไปทันที 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท!

 

แต่ราคาหุ้นของเทสลาที่ดิ่งลงครั้งนี้ เป็นความสูญเสียที่ทำให้ สำนวน“ขนหน้าแข้งไม่ร่วง” กระจ่างชัดขึ้นมาในบัดดล เพราะแม้กระนั้น อีลอน มัสก์ ก็ยังคงครองอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทำเนียบ Billionaires Index ของบลูมเบิร์กอยู่ดี โดยเขายังคงมีทรัพย์สินมากกว่า นายเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) มหาเศรษฐีอันดับสองอยู่ถึง 83,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.7 ล้านล้านบาท

แค่นี้จิ๊บๆ สำหรับอีลอน มัสก์

 ขนหน้าแข้งไม่ร่วงสักนิด

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ความมั่งคั่งที่หายไปในช่วงเวลาสองวันของอีลอน มัสก์ นายใหญ่ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา ถือเป็นสถิติใหม่ของทำเนียบมหาเศรษฐี Billionaires Index ของบลูมเบิร์ก เป็นความสูญเสียในช่วงเวลาสองวันที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ ยังเป็นความมั่งคั่งที่หดลดลง “มากที่สุดภายในวันเดียว” นับตั้งแต่ที่มีการจัดอันดับกันมา โดยครั้งที่หดแรงที่สุดก่อนหน้านี้ คือเมื่อคราวที่นายเจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่ออี-คอมเมิร์ช “แอมะซอน” หย่ากับภรรยาในปี 2561 ครั้งนั้นเบซอสจ่ายค่าหย่าให้อดีตภรรยาไป 36,000 ล้านดอลลาร์      

 

มูลค่าหุ้นของเทสลาที่หายไปมากกว่า 10% ภายในช่วงเวลาสั้น ๆนั้น (หุ้นเทสลาร่วงลงมากถึง 12% เมื่อวันอังคาร หลังจากปรับตัวลดลงที่ 4.8% เมื่อวันจันทร์) มีต้นตอมาจากการที่นายมัสก์ออกมาทวีตขอความเห็นจากผู้ที่ติดตามทวิตเตอร์ของเขาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า เขาควรจะขายหุ้นบริษัทเทสลาของเขาเองสัก 10% เพื่อเอาเงินมาจ่ายภาษีดีหรือไม่ ? เพราะตัวเขาเองนั้นโดนโจมตีว่าเสียภาษีน้อยเกินไปจากการที่เขาร่ำรวยมาจากสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นเป็นส่วนใหญ่  จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่า น้องชายของมัสก์ก็ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเหมือนกันก่อนที่เขาจะมาทวีตขอความเห็นเสียอีก

 

เท่านั้นยังไม่พอ ที่ช่วยย้ำซ้ำเติมให้เรื่องราวทั้งหมดดูย่ำแย่เข้าไปอีก คือการออกมาให้ความเห็นของนายไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อว่า มัสก์อาจจะอยากขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้สินส่วนตัว

  

การร่วงลงของหุ้นเทสลาครั้งนี้ ทำให้สินทรัพย์ของมัสก์หายไป 50,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งของเขาห่างจากมหาเศรษฐีอันดับสองอย่างเจฟฟ์ เบซอส น้อยลงโดยตอนนี้ความรวยของเศรษฐีทั้งสองห่างกันเพียง 83,000 ล้านดอลลาร์  

มัสก์ยังมีธุรกิจอื่นๆ ที่ไปบุกเบิกเอาไว้อีกมาก รวมทั้งธุรกิจท่องเที่ยวอวกาศ

ก่อนหน้านี้ เบซอส เจ้าพ่อแอมะซอน (Amazon.com Inc.) ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกในทำเนียบอภิมหาเศรษฐีของบลูมเบิร์ก แต่อีลอน มัสก์ ก็เบียดแซงขึ้นมาสำเร็จคว้าอันดับหนึ่งไปครองเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

ในช่วงที่สองตำแหน่งห่างกันมากที่สุดนั้น คือมัสก์รวยนำเบซอสอยู่ 143,000 ล้านดอลลาร์ ถามว่ามากแค่ไหน ก็เอาเป็นว่าแค่ส่วนต่างความรวยของมหาเศรษฐีคู่นี้ ยังมากกว่าสินทรัพย์สุทธิที่นายบิลเกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีอันดับสี่ของโลกในปัจจุบันครอบครองอยู่ (เกตส์เองก็เคยเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับหนึ่งของโลกมาแล้ว)   

 

ทวีตเดียวหุ้นร่วง 10% ในเวลาไม่ถึง 10 นาที

อีลอน มัสก์ สร้างความประหลาดใจให้เหล่าผู้ติดตาม (follower) ทวิตเตอร์ของเขาที่มีจำนวนมากกว่า 62.8 ล้านคน ด้วยการทวีตเมื่อคืนวันเสาร์ (6 พ.ย.) ขอความเห็นว่า เขาควรขายหุ้นของตัวเองที่ถืออยู่ในบริษัทเทสลา ออกไปสัก 10% ดีหรือไม่ โดยเขาบอกว่า พร้อมจะยอมรับผลของการสอบถามความเห็นครั้งนี้ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเขาจะขายหุ้นเมื่อไหร่หรือด้วยวิธีใด

 

ข้อเสนอดังกล่าวของมัสก์มีออกมาภายหลังสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสเสนอให้จัดเก็บภาษีพวกเศรษฐีที่ร่ำรวยล้นฟ้าให้มากขึ้น ด้วยการพุ่งเป้าที่การถือหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตามปกติแล้วจะเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการขายหุ้น มัสก์เคยออกความเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ข้อเสนอดังกล่าวเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โดยเขาทวีตว่า "พวกเขาดูดเงินของคนอื่นเกลี้ยงแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็มาหาคุณ"

 

อีลอน มัสก์ ปกป้องตัวเองว่า เขาไม่ได้รับเงินเดือนหรือโบนัสจากบริษัทต่างๆ ที่เขาบริหารหรือถือหุ้นอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาไม่มีรายได้ที่จะต้องจ่ายภาษีเงินได้ "ผมมีแต่หุ้น ฉะนั้น วิธีเดียวที่ผมจะจ่ายภาษีส่วนบุคคลได้คือการขายหุ้น" มัสก์ทวีต

 

ภายหลังการสอบถามความเห็นของผู้ติดตาม ผลที่ออกมาในวันจันทร์(8 พ.ย.) พบว่า มีผู้ออกมาแสดงความเห็นมากกว่า 3.5 ล้านคน โดยมี 57.9% ตอบว่า เห็นด้วยที่จะให้เขาขายหุ้นในเทสล่า 10% ทั้งนี้ ข้อมูลของบลูมเบิร์กระบุว่า มัสก์ถือหุ้นเทสลาอยู่ประมาณ 17% (ข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 64)  ซึ่งคิดเป็นมูลค่า  208,370 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเขาขายหุ้น 10% ทางทฤษฎีมัสก์จะได้เงินไม่ถึง 21,000 ล้านดอลลาร์

 

ข่าวระบุว่า เมื่อวันจันทร์ (8 พ.ย.) มีช่วงที่หุ้นเทสล่าปรับลดลง 10% อย่างรวดเร็ว ทำให้สินทรัพย์ของมัสก์วูบหายไปราว 6.5 แสนล้านบาทภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที โดยราคาหุ้นเทสลาปรับตัวลงจากระดับ 1,150 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 1,035 ดอลลาร์ เป็นมูลค่าที่หายไป 115 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที และถ้าหากจะคำนวณจากมูลค่าหุ้นที่มัสก์ถืออยู่ในเทสลา 170 ล้านหุ้น มูลค่าหายไปหุ้นละ 115 ดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าภายใน 10 นาทีนั้น มูลค่าสินทรัพย์ของเขาหายวับไป 19,550 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6.39 แสนล้านบาท  

 

สำหรับผู้ที่เป็นห่วงสถานะความร่ำรวยของนายมัสก์ บลูมเบิร์กเผยว่า นอกจากหุ้นเทสลาแล้ว มัสก์ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมายที่เขาก่อตั้งไว้หรือเป็นผู้บริหาร เช่นบริษัท นูราลิงค์ ผู้สรร์สร้างนวัตกรรมด้านประสาทเทคโนโลยี  และบริษัทสเปซเอ็กซ์ ที่กำลังมุ่งบุกเบิกยานสำรวจอวกาศเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น มัสก์จึงยังคงครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิราว ๆ 338,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท

 

แต่สำหรับคนอื่น ๆที่ถือหุ้นของเทสล่า ถึงแม้ยังไม่มีใครรู้ว่านายมัสก์จะขายหุ้นออกมาวันไหน และจะขายให้ใคร อย่างไร แต่ก็เชื่อได้ว่าผลของการขายหุ้น10% ของที่มัสก์ถืออยู่ ย่อมจะส่งผลลบต่อราคาหุ้นเทสลาอย่างแน่นอน เพียงแค่ข่าวที่ออกมาก็ทำให้เกิดการเทขายและราคาหุ้นก็ปรับร่วงลงต่อเนื่องทั้งในวันจันทร์และอังคาร ทำให้นายแลร์รี เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ก่อตั้งบริษัท ออราเคิล คอร์ป. ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือหุ้นเทสล่ามากเป็นอันดับสอง สูญไปแล้ว 2,100 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เคธี วูด ผู้บริหารกองทุนการลงทุน ARK Investment Management ที่ขายหุ้นเทสลาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นอีกคนที่เห็นมูลค่าสินทรัพย์ในมือหายไปกับตามากกว่า 750 ล้านดอลลาร์   

 

รัสส์ โมลด์ นักวิเคราะห์จากเอเจ เบลล์ กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า การโยนหินถามทางบนทวิตเตอร์ส่งสัญญาณอย่างมีประสิทธิภาพว่า มัสก์กำลังมีแผนจะเทขายหุ้นในตลาด ซึ่งในทางเทคนิคเรียกว่า เป็นส่วนเกินของตลาด และเป็นสิ่งที่มักจะกดให้ราคาหุ้นต่ำลง

 

โมลด์ยังให้ความเห็นว่า อีลอน มัสก์ รวยมากจนไม่ได้สนใจเลยว่า การกระทำของเขาจะส่งผลต่อราคาหุ้นเทสลาหรือไม่ แต่ทั้งนี้ ในฐานะผู้บริหาร มัสก์มีหน้าที่จะต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำในสถานการณ์ล่าสุดนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้การประเมินมูลค่าของบริษัทเทสลาไม่เสถียร และโดยทั่วไปแล้วการเทขายหุ้นของคนวงในมักถูกมองเป็นสัญญาณเชิงลบ

 

ข้อมูลอ้างอิง