“โควิดเดลต้า” บุกแล้ว 100 ประเทศ ขึ้นแท่นสายพันธุ์หลักที่ระบาดทั่วโลก

17 ก.ค. 2564 | 04:17 น.

แพทย์ใหญ่ที่ปรึกษาทำเนียบขาว ระบุเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดไปใน 100 ประเทศทั่วโลกแล้วในเวลานี้ ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดพุ่งขึ้นมากในสหรัฐ โดยเกือบทั้งหมดเป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว และผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (NIAID) สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ได้ถูกตรวจพบในราว 100 ประเทศ และขณะนี้ได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกแล้ว

นายแพทย์แอนโทนี ฟอซี

ด้านนางโรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ เปิดเผยในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (16 ก.ค.) ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นถึง 70% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดก็เพิ่มขึ้น 26% ขณะที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับต่ำ

 

CDC ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยรายวันในรอบ 7 วันของสหรัฐในขณะนี้อยู่ในระดับสูงกว่า 26,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระดับต่ำสุดของเดือนมิ.ย.ที่ราว 11,000 ราย

 

นายเจฟฟ์ เซียนต์ส ผู้ประสานงานด้านการรับมือโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวระบุว่า การแพร่ระบาดรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในรัฐอาร์คันซอ, ฟลอริดา, ลุยเซียนา, มิสซูรี และเนวาดา ซึ่งทุกรัฐเหล่านั้นล้วนมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

สหรัฐพบการระบาดมากในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ

"กำลังมีการระบาดใหญ่ในกลุ่มประชากรที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน" นางวาเลนสกีกล่าว พร้อมเสริมว่า 97% ของผู้ป่วยโควิดที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในสหรัฐในขณะนี้ เป็นผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเรียกร้องให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยระบุว่าวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นานั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า