สื่อนอกสะท้อนการเมืองไทย หนทางสู่เก้าอี้นายกฯของ"พิธา"ที่ต้องฝ่าดงหนาม

04 ก.ค. 2566 | 18:50 น.

สื่อต่างประเทศเกาะติดจับตาทิศทางการเมืองไทยในช่วงสัปดาห์นี้ ซึ่งมีรัฐพิธีเปิดประชุมสภา พร้อมวิเคราะห์เส้นทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์"ท่ามกลางอุปสรรค-ความท้าทาย และโอกาสรัฐประหารที่ยังมีความเป็นไปได้

 

วีโอเอ สื่อใหญ่จากสหรัฐอเมริกา รายงานวานนี้ (4 มิ.ย.) ว่า แกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ มีข้อตกลงร่วมกันที่จะเสนอชื่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ นั่งเก้าอี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการผ่าทางตันการสรรหาประธานสภาที่ยืดเยื้อมานานในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ไทม์ รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จพระราชดำเนินทรงรัฐพิธี เปิดประชุมรัฐสภา ในช่วงเย็นวันจันทร์ (3 มิ.ย.) ก่อน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาในวันถัดมา (4 ก.ค.) ซึ่งราบรื่นด้วยดี 

กระบวนการต่อจากนี้ คือการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี อันเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกคนรอคอย ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม

สื่อต่างประเทศระบุว่า แม้ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจะถูกมองว่าเป็น “เสียงสะท้อนจากประชาชน” ในการไม่ยอมรับรัฐบาลทหารที่เข้าปกครองประเทศไทยหลังก่อรัฐประหารเมื่อปี 2014 แต่ถึงกระนั้น หนทางแห่งการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็ยังถือว่า “ห่างไกลจากความตรงไปตรงมา”

ส.ส.ใหม่ในวันรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา (3 มิ.ย.2566 ภาพข่าวรอยเตอร์)

เหตุผลสำคัญเพราะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ประชาชนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตัวแทนเข้าสภาผู้แทนราษฎร 500 ที่นั่ง ในขณะที่การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยนั้นยังขึ้นอยู่กับ “วุฒิสมาชิก” หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลชุดก่อนซึ่งนำทีมโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้นั้น ยากเกินคาดเดา

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานวิเคราะห์โฉมหน้าสภาชุดใหม่ว่า พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นอดีตฝ่ายค้านในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้ส.ส. 151 และ 141 ที่นั่งตามลำดับ จะจับมือกับพรรคร่วมอีก 6 พรรค เพื่อให้ได้เสียงในสภาผู้แทนราษฎร 312 จาก 500 เสียง

ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้ไป 71 ที่นั่ง พรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติได้ 40 และ 36 ที่นั่งตามลำดับ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ 25 ที่นั่ง พรรคเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสมการพรรคร่วมรัฐบาล และก็ไม่มีการประกาศว่าจะมีความพยายามจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแต่อย่างใด

แล้วพันธมิตรเสียงข้างมาก รับประกันว่าจะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

รอยเตอร์วิเคราะห์ว่า ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น เพราะเสียงข้างมากดังกล่าวเป็นเพียงฝั่งสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีจำเป็นจะต้องได้ “เสียงข้างมาก” จากทั้งสองสภา ดังนั้น ปัญหาของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็คือ ในตอนนี้วุฒิสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งในยุครัฐบาลทหารยังคงลงคะแนนเสียงไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับกองทัพ ขณะที่พรรคพันธมิตรที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ต่างก็ไม่มีตัวแทนในวุฒิสภา

มาดูกันว่า การลงคะแนนโหวตนายกฯ เป็นอย่างไร

ผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทยนั้น จะต้องได้รับเสียงสนับสนุน 376 เสียงจาก 750 เสียงของทั้งสองสภา หากผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ (หรือได้รับคะแนนโหวตไม่มากพอ) ก็จะมีการเสนอชื่อแคนดิเดตคนอื่น ๆ ขึ้นมาได้อีก และทั้งส.ส.และส.ว. จะเดินหน้าลงคะแนนต่อไปจนกระทั่งถึงเป้าหมาย 376 เสียง

ปัจจุบัน ในฝั่งแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพันธมิตร 8 พรรค ได้ให้การสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล วัย 42 ปี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แต่ก่อนจะไปถึงฝั่งฝันนั้น นายพิธาจะต้องมั่นใจว่าได้คะแนนโหวตมากพอ

ทั้งนี้ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลทั้ง 8 พรรคมีคะแนนรวมกัน 312 เสียงอยู่ในมือ (ถ้าหากไม่มีใครแตกแถวเสียก่อน)  ซึ่งนั่นหมายความว่า นายพิธายังคงต้องการอีก 64 เสียงจากส.ส.พรรคอื่น หรือจากวุฒิสภา

เกี่ยวกับประเด็นนี้ บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ชี้ว่า แนวทางของพรรคก้าวไกลที่มีแนวคิดปฏิรูปกองทัพและแก้กฎหมาย ม.112 อาจจะดู “มากเกินไป” หรือ “รับไม่ได้” สำหรับบรรดาส.ว. ซึ่งหากส.ว.ยังคงลงคะแนนเสียงไปในแนวทางเดียวกับเมื่อปี 2562 นายพิธาก็อาจไม่ได้ไปต่อในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ส.ว.บางรายอาจต้องการโหวตแตกแถว ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายพิธาก็เพิ่งจะแสดงความเชื่อมั่นว่า เขาจะได้เสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา “เพียงพอ” ที่จะทำให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ก็ยังไม่แน่ชัดนัก

นาย ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักรัฐศาสตร์จากสถาบัน ISEAS Yusof Ishak Institute ในสิงคโปร์ ให้ความเห็นกับนิตยสารไทม์ว่า มีความเป็นไปได้มาก ที่ว่านายพิธาจะไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอให้เป็นนายกฯ เนื่องจากขาดแรงหนุนจากฝั่งส.ว.

ยิ่งไปกว่านั้น คือนายพิธายังต้องได้เสียงจากส.ส.นอกพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากพวกเขาคัดค้านนโยบายและแนวทางของพรรคก้าวไกลเป็นอย่างมาก

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากพิธาไม่ได้ไปต่อในฐานะนายกฯ

นอกจากประเด็นเสียงสนับสนุนจากส.ว. และจากส.ส.นอกพรรคพันธมิตรแล้ว นายพิธายังต้องรอผลการสืบสวนของคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อสรุปว่า เขานั้นควรถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งและสิทธิ์ในการเข้ารับตำแหน่งทางการเมืองเพราะข้อกล่าวหาที่ว่า เขาถือครองหุ้นในธุรกิจสื่อ(ไอทีวี) ที่ปิดตัวไปแล้วหรือไม่

“ประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา ชี้ว่าพรรคฝ่ายค้านที่ได้คะแนนนำโด่ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทยหรือพรรคอนาคตใหม่ ... ต่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองอย่างรวดเร็วโดยศาลรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น” นายมาร์ค เอส. โคแกน อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Kansai Gaidai University ของประเทศญี่ปุ่น กล่าวให้ความเห็นกับนิตยสารไทม์ และว่า พรรคก้าวไกลเองก็มีความเสี่ยงที่จะถูกยุบพรรคเหมือนกันกับพรรคอื่นๆ ก่อนหน้านี้เช่นกัน

 

กำลังใจล้นหลาม แต่โอกาสจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ ยังต้องรอดูกันต่อไป

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รอยเตอร์วิเคราะห์ว่า พรรคก้าวไกลอาจ “คำนวณผิดพลาด” ในการเสนอชื่อนายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะถึงแม้ว่าเขาอาจจะได้รับการเสนอชื่ออีกครั้ง แต่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้จำนวนส.ส.ในสภามาเป็นอันดับสองรองจากพรรคก้าวไกล ก็อาจจะใช้โอกาสนี้ในการเสนอหนึ่งชื่อคนของพรรคตัวเองขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็อาจส่งผลสั่นคลอนพลวัตของ 8 พรรคร่วมได้

ด้านนายคัตสึยูกิ ทาคาฮาชิ อาจารย์จากสถาบันประชาคมอาเซียนศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยนเรศวร ให้มุมมองกับไทม์ว่า สถานการณ์นี้น่าจะเป็นโอกาสสำหรับพรรคเพื่อไทย เพราะ“ถ้าหากนายพิธาขาดคุณสมบัติ ทางพรรคก้าวไกลก็ไม่มีแคนดิเดตนายกฯ เหลืออยู่อีก ขณะที่พรรคเพื่อไทย มีผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถึง 3 คนด้วยกัน

มีโอกาสแค่ไหนที่มงฯจะลงเพื่อไทย

รายงานข่าวระบุว่า ระหว่างที่พรรคก้าวไกลมีจุดยืนชัดเจนในการไม่ยอมรับรัฐบาลทหาร และยืนยันจะผลักดันการแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยยังแสดงท่าทีคลุมเครือเกี่ยวกับแนวร่วมรัฐบาล ผู้สันทัดการเมืองบางส่วนจึงคาดว่า พรรคเพื่อไทยอาจเข้าร่วมกับพรรคที่เอื้อประโยชน์กับกองทัพและสถาบัน เพื่อให้ทางพรรคมีความได้เปรียบสูงสุดก็เป็นได้

นายโคแกน อาจารย์จากมหาวิทยาลัย Kansai Gaidai University ของญี่ปุ่น ชี้ว่า ท่าทีดังกล่าวเสี่ยงเกินไปและเป็นการมองแค่ระยะสั้น อีกทั้งยังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคเพื่อไทยในหมู่ผู้สนับสนุนอีกด้วย ขณะเดียวกัน นายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ได้ให้ความเห็นกับนิตยสารไทม์ด้วยว่า เขานึกภาพไม่ออกเลยว่า กลุ่มคนเสื้อแดงและผู้สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร จะหันมาจับมือกับคนกลุ่มเดียวกับที่โค่นล้มระบอบทักษิณตั้งแต่แรกเริ่มได้ และท่าทีนี้จะเป็นประโยชน์กับพรรคก้าวไกลให้ “แลนด์สไลด์” อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า

มีโอกาสไหมที่แคนดิเดตจากนอกพรรคร่วมฯจะได้เป็นนายกฯ

หากส.ว.โหวตค้านแคนดิเดตจากทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรี อาจมีโอกาสให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยพรรคแนวอนุรักษ์นิยม ที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคขึ้นมาเป็นทางเลือกได้ และยังมีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกมากกว่าด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์มองว่า การเกิดทางตันทางการเมืองไม่ใช่สิ่งที่หลุดออกมาจากสมการการเมืองไทยในตอนนี้เท่าใดนัก ทั้งนี้ รอยเตอร์จับตาพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ วัย 77 ปี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้ซึ่งกล่าวถึงตนเองว่า เป็นตัวกลางประสานความแตกแยกทางการเมือง เพราะหากพล.อ.ประวิตรสามารถบรรลุข้อตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคได้ เขาอาจได้คะแนนเสียงเพียงพอที่จะเป็นนายกฯ ได้เช่นกัน

ด้านนิตยสารไทม์ ได้กล่าวถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างอิงบรรดานักวิเคราะห์ที่เชื่อว่า หากเขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลของอนุทินจะมีอุปสรรคฉุดรั้งทั้งจากข้อเท็จจริงที่ว่า แกนนำฝ่ายค้านจะมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและความยุ่งยากในการทำข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจากกลุ่มก้อนของพรรคแนวอนุรักษ์นิยม

 “อนุทินจะเป็นนายกฯที่อ่อนแอมาก เป็นพรรคร่วมที่เปราะบางอย่างยิ่ง เพราะต้องยอมโอนอ่อนผ่อนปรนหลายอย่างเพื่อให้ได้จัดตั้งรัฐบาล” โคแกนจากมหาวิทยาลัย Kansai Gaidai University กล่าว และว่า “จะมีแรงกดดันเพื่อรักษาอำนาจอย่างมาก” ซึ่งการคงอำนาจในลักษณะนี้จะอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างเร็วที่สุดคือเดือนพฤษภาคมปีหน้า(2567) ที่อำนาจการโหวตเลือกนายกฯ ของวุฒิสภาจะหมดลง ซึ่งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่สามารถคงอำนาจอยู่ต่อไปได้

โอกาสที่กองทัพจะยังคงอำนาจต่อไป มีหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญต่างให้มุมมองกับไทม์ว่า ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการก่อรัฐประหารอีกครั้ง หลังไทยต้องเจอกับรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา ถือว่า “น้อยมาก” แต่ก็ไม่อาจตัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งไป

หากการโหวตเลือกนายกฯยืดเยื้อ นั่นอาจเปิดทางให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนอชื่อแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งสำคัญในกองทัพได้ทัน และมีโอกาสในการก่อรัฐประหารได้ เมื่อการแต่งตั้งโยกย้ายมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566