วันที่ 12 พ.ค.2566 ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้ปราศรัยในเวทีปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้าย พรรคพลังประชารัฐ
นายสนธิรัตน์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนเดินสายปราศรัยมาทั่วประเทศ มีแต่เสียงปรบมือต้อนรับ และอยากเห็นพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐบาล ขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน ในการชี้ชะตาประเทศไทย และบีบหัวใจคนไทยทั้งประเทศ
“ผมคิดถึงการเมืองย้อนหลังไปเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่เกิดวังวนปัญหาของประเทศ และไม่อยากเชื่อว่าวันนี้อารมณ์ทางการเมืองกำลังจะกลับไปสู่วังวนเดิม ซึ่งยังไม่ทันเลือกตั้ง หลายคนบอกว่าหลังเลือกตั้งจะวุ่นวาย จัดตั้งรัฐบาลได้ยาก อารมณ์ของความเกลียดชัง การแบ่งแยกเริ่มคุกรุ่นขึ้นมา
ผมจึงเริ่มห่วงใยว่า การเมืองไทยจะเดินย้อนกลับไปสู่จุดเดิม ถามว่าพี่น้องจะปล่อยให้ประเทศเดินกลับไปวังวนอย่างเดิม หรือจะร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อหยุดวังวน และวงจรนี้ไปด้วยกัน”
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า การตัดสินใจในวันที่ 14 พ.ค.นี้ คือ การตัดสินใจเพื่ออนาคตของเราทุกคน วันนี้พรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่ พรรคพลังประชารัฐเหมือนในอดีต แต่เป็นพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นมิติใหม่ของการเปลี่ยนแปลงเพื่อสอดรับกับสถานการณ์ของบ้านเมือง
และเป็นพรรคที่รวบรวมผู้คนเข้าพรรค ผสมผสานกับคนรุ่นเก่า และคนรุ่นใหม่ พร้อมยื่นมือโอบล้อมคนทั้งประเทศให้หันมาฟัง มาร่วมมือกัน และนำพาประเทศก้าวข้ามความขัดแย้งไปให้ได้
วันนี้ มีพรรคการเมืองไหนที่จะเป็นพรรคที่สร้างการเมืองที่มีเสถียรภาพ และเชื่อมโยงกับทุกพรรคได้ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐ และเราโชคดีที่มีผู้นำที่ใช่ในสถานการณ์ที่จำเป็น และต้องการผู้นำอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ซึ่งการเป็นผู้นำของบ้านเมืองต้องเปี่ยมด้วยประสบการณ์ ต้องนำผู้คนได้
พล.อ.ประวิตร ได้พิสูจน์แล้ว เมื่อครั้งรักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 38 วันที่ หลายคนบ่นเสียดายที่ท่านรักษาการสั้นเกินไป แต่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า พล.อ.ประวิตร เป็นคนที่พร้อมนำประเทศไทย ใจบันดาลแรงคือ คำที่ท่านประกาศ มีความหมายว่า ท่านพร้อมแล้วที่จะรับใช้คนไทยทั้งประเทศ
ท่านคือ คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จหลายรัฐบาล คือ คนที่เสียสละตนเอง เป็นคนรอง เป็นคนเบื้องหลัง เป็นคนจัดการ และเคลียร์ปัญหา ไม่ใช่แค่รัฐบาลเดียว ตนมีความเชื่อว่าคนจะเป็นผู้นำที่ดีได้ต้องเป็นผู้ตามที่ดีก่อน ซึ่ง พล.อ.ประวิตร พร้อมเป็นนายกฯ มานานแล้ว
แต่ที่ผ่านมาท่านพร้อมจะเป็นคนที่สนับสนุนให้คนอื่นได้ทำงานเพื่อบ้านเมือง คนแบบนี้ที่เราต้องตัดสินใจให้เป็นนายกฯ ท่านมีจิตใจดี รัก และให้อภัยทุกคน
“อย่างไรก็ดี พล.อ.ประวิตร เคยบอกว่าการเมืองใครจะแพ้ชนะ เป็นเรื่องของการเมือง แต่สิ่งที่ท่านปรารถนาในชีวิต คือ อยากเห็นคนไทยรัก และสามัคคีกัน เพื่อส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลานต่อไป” นายสนธิรัตน์ ระบุ