ปี 2567 ที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในวงการไอทีเมืองไทย ในแง่ของเทคโนโลยีกระแสหลัก คงหนีไม่พ้น “AI” ที่มีการแข่งขันในการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การใช้งาน AI ขยายตัวออกในวงกว้างมากขึ้น ทั้งองค์กร และส่วนบุคคล ส่วนความเคลื่อนไหวเชิงธุรกิจนั้นเกิดเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในรอบปีเช่นเดียวกัน
โดย “ฐานเศรษฐกิจ” ได้รวบรวมปรากฎการณ์สำคัญปี 2567
เริ่มต้นจากปรากฎการณ์ Windows Blue Screen ทั่วโลก เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2567 จากการอัพเดทโปรแกรม CrowdStrike ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows10 และ Windows 11 ตลอดจนระบบ cloud ของ Microsoft ทั่วโลก เกิดอาการ “Blue Screen of Death” (BSOD) ใช้งานไม่ได้ไปทั่วโลก เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อหลายภาคส่วน รวมถึงสายการบิน ธนาคาร และบริการด้านสุขภาพ ทำให้เกิดความท้าทายในการดำเนินงานอย่างมาก การอัพเดตนี้เชื่อมโยงกับซอฟต์แวร์ Falcon Sensor ของ CrowdStrike ซึ่งออกแบบมาเพื่อปกป้องระบบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
ปรากฎการณ์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าระบบไอทีทั่วโลกเชื่อมโยงและความเปราะบางของระบบไอทีทั่วโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปัญหากับผู้ให้บริการรายเดียวสามารถส่งผลกระทบในวงกว้างในหลายอุตสาหกรรมและประเทศต่างๆ ได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้น องค์กรจึงควรตื่นตัวและเตรียมพร้อมรับมือภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ
ปลายเดือน ก.ค. 2567 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) SCBX สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ เมื่อแจ้งยุติการให้บริการแอปพลิเคชันส่งอาหารชื่อดังอย่าง “Robinhood” ของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามภายหลังได้แจ้งเลื่อนการยุติการให้บริการ เพื่อพิจารณาข้อเสนอซื้อสินทรัพย์จากกลุ่มลูกค้าที่สนใจ
ท้ายสุด เอสซีบี เอกซ์ สามารถปิดดีลขายบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด เจ้าของแอป “Robinhood” ให้กับบริษัทไอทีชื่อดังที่มีอายุเกือบ 100 ปี อย่าง “ยิบอินซอย” ที่ร่วมกับพันธมิตรเข้าซื้อกิจการไปมูลค่า 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วย มูลค่าเบื้องต้นชำระทันที 400 ล้านบาท และส่วนเพิ่มตามผลประกอบการสูงสุดไม่เกิน 1,600 ล้านบาท
โดยการเข้าซื้อแอป “Robinhood ทำให้ “ยิบอินซอย” เอสไอด้านไอที ขยับเข้าสู่ธุรกิจแพลตฟอร์มบริการ (Platform as a Service) ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลา และเงินลงทุนสร้างพัฒนาระบบ รวมไปถึงการลงทุนสร้างแบรนด์ เพราะแบรนด์ Robinhood มีความแข็งแกร่ง โดยในช่วงพีคสุด มียอดสั่งออเดอร์ผ่านแอป Robinhood อยู่ที่ 200,000 ออเดอร์ต่อวัน
ยิบอินซอยจะเข้ามาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Robinhood ให้กลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน โดยจะเปลี่ยนจากการทำ CSR มาเป็นการสร้างรายได้จริง ด้วยการขยับค่าบริการ GP จากเดิมที่ 20% ขึ้นเป็น 25% และเพิ่มค่าบริการโปรโมชันแบบอัตโนมัติอีก 3% รวมเป็น 28%
เดือน ส.ค.2567 สงครามอีคอมเมิร์ซไทยปะทุขึ้นมาอีกรอบหนึ่งภายหลัง TEMU แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สินค้าราคาถูกจากโรงงานโดยตรง และกำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ประกาศเปิดให้บริการในไทยอย่างเป็นทางการ โดย TEMU ใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจเดียวกับที่ใช้ตีตลาดในสหรัฐ และทั่วโลกมาแล้ว คือ เน้นขายของถูกจากโรงงานผลิตโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้มีต้นทุนต่ำ ทำให้ได้กำไรสูง และใช้วิธีทุ่มยิงแอดโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย ให้ส่วนลดสูงสุด 90% มีบริการส่งฟรี บริการรับประกันส่งสินค้า และระบบคืนเงินหากไม่พอใจสินค้า เพื่อจูงใจคนเข้าไปซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TEMU
การเข้ามาของ TEMU ถือเป็นพายุลูกใหม่ที่รุนแรงเพราะจะทำให้สินค้าจีนหลั่งไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น และเงินไหลออกนอกประเทศมากขึ้น โดยที่ไทยไม่ได้อะไรกับมาเลย และจะกลายเป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จนภาครัฐออกมาล้อมคอก กดดันจนท้ายสุด TEMU เข้ามาจดทะเบียนในไทย ภายใต้ชื่อบริษัท เวล โค เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และมีการจดทะเบียนอย่างเป็นทางการกับทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ภายใต้ชื่อ บริษัท Elementary Innovation PTE จากสิงคโปร์ เพื่อดำเนินการประกอบธุรกิจ บริการตลาดออนไลน์สำหรับตลาดประเทศไทย
ด้วยจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความมั่นคง ปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาด ซึ่งและโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงติด 1 ใน 10 ของโลก และเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในอาเซียน และ สิทธิประโยชน์ที่จูงใจจากบีโอไอ รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัลไทยจะมีมูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทในปี 2567 มีขนาดใหญ่และเติบโตเร็วเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ปี 67 เป็นปีทองสำหรับการลงทุนของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย
โดยเฉพาะยักษ์เทคโนโลยีโลก ทั้ง อเมซอน เว็บเซอร์วิส (AWS) กูเกิล และไมโครซอฟท์ ประกาศลงทุนตั้ง Data Center และ Cloud Region นอกจากนี้ยังมีดาต้าเตอร์จากยุโรป จีน รวมไปถึง EDGNEX Data Centers โดย DAMAC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลระดับโลกจากประเทศสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ได้ประกาศการกว่า 32,000 ล้านบาท (1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในโครงการพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) หลายโครงการในไทย
ทั้งนี้รายงาน e-Conomy SEA 2024 Report ระบุว่าครึ่งแรกของปี 2567 การลงทุนเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทยมีมูลค่าถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 2.09 แสนล้านบาท ทำให้ความจุ (Capacity) ของศูนย์ข้อมูลที่วางแผนไว้เพิ่มขึ้น 550% โดยเติบโตมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ระบุว่า ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 46 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 167,989 ล้านบาท ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง