รู้จัก “เศรษฐกิจอวกาศ” จุดสตาร์ทที่จีนขอเป็นผู้นำ และโอกาสของไทย

14 ก.ค. 2566 | 10:49 น.

นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงขาขึ้นสำหรับ “เศรษฐกิจอวกาศ” หรือ Space Economy โดยตลาดอุตสาหกรรมอวกาศทั่วโลกจะมีมูลค่าราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหลายเท่าของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบัน

 

หากพูดถึงเรื่อง “เศรษฐกิจอวกาศ” (Space Economy) ต้องยอมรับว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศจีน ได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการอวกาศทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้าง “สถานีอวกาศเทียนกง” (Tiangong) และส่งโมดูลส่วนต่าง ๆ ขึ้นไปประกอบ นอกจากนี้ จีนยังส่งทีมนักบินอวกาศจีนออกไปปฏิบัติภารกิจนอกโลกแล้วหลายชุด ยังไม่นับรวมการประกาศ Mission Possible ภารกิจ ‘เหยียบดวงจันทร์’ ภายในปี พ.ศ. 2573 หรืออีก 7 ปีข้างหน้า  

บนหน้าสื่อเราจะได้เห็นข่าวความเคลื่อนไหวของจีนกับการส่งดาวเทียมนำร่องในตระกูล “เป๋ยโต่ว” เข้าสู่วงโคจรรอบโลก ซึ่งมีจำนวนเกือบ 60 ดวงแล้ว

สถานีอวกาศเทียนกง (Tiangong)

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนให้น้ำหนักกับการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมเป๋ยโต่วเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีดาวเทียมโทรคมนาคม การจราจรทางอากาศ การพยากรณ์สภาพอากาศ ภูมิสารสนเทศ และการกำหนดพิกัดนำร่อง รวมถึงการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมภูมิสารสนเทศและการประยุกต์ใช้ดาวเทียมจีน-อาเซียน (China-ASEAN Geographic Information and Satellite Application Industrial Park) ที่ นครหนานหนิง เพื่อวางรากฐานให้กับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่กำลังทวีบทบาทสำคัญและสร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศ ทั้งนี้ การก่อสร้างเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อต้นปี พ.ศ. 2566 นี้เอง

นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้รับการกำหนดตำแหน่ง (positioning) ให้มุ่งเน้นการพัฒนาข้อมูลเชิงพาณิชย์ด้านการสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียม (Satellite Remote Sensing) และข้อมูลด้านภูมิสารสนเทศเป็นพื้นฐาน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น ดาวเทียม ภูมิสารสนเทศ 5G และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อนำไปต่อยอดและประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์ในสาขาต่าง ๆ เช่น เมืองอัจฉริยะ การขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ทะเลและฟาร์มปศุสัตว์ การพัฒนาและอนุรักษ์แม่น้ำ การเกษตรอัจฉริยะ รวมไปถึงความมั่นคงตามแนวชายแดน

นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ได้รับการกำหนดตำแหน่ง ให้มุ่งเน้นการพัฒนาข้อมูลเชิงพาณิชย์ด้านการสำรวจระยะไกลด้วยดาวเทียม

เพื่อเป็นการผลักดันการยกระดับเทคโนโลยีการสํารวจระยะไกลด้วยดาวเทียมและการนําเทคโนโลยีดังกล่าวไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในภูมิภาค เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานประชุมร่วมคณะกรรมการกํากับการดําเนินการ (Steering Committee) และคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญประจําศูนย์การประยุกต์ใช้ดาวเทียมเพื่อการสํารวจระยะไกลจีน-อาเซียน หรือ China-ASEAN Satellite Remote Sensing Application Center ที่นครหนานหนิง โดยมีผู้แทนจากส่วนกลางและชาติสมาชิกอาเซียนเข้าร่วมด้วย ซึ่งรวมถึงนายตติยะ ชื่นตระกูล รองผู้อำนวยการสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ในฐานะผู้แทนไทย

ภายในงานประชุมได้มีการประกาศแผนการก่อสร้างและพัฒนาศูนย์ China-ASEAN Satellite Remote Sensing Application Center ระยะ 5 ปี (ระหว่างปี พ.ศ. 2566-2570) และผู้เชี่ยวชาญได้มีการแลกเปลี่ยนในประเด็นสําคัญ เช่น

  • การสร้างกลไกความร่วมมือที่ยั่งยืนด้านการสํารวจระยะไกลด้วยดาวเทียมระหว่างจีนกับอาเซียน
  • การสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายข้อมูลดาวเทียมจีน-อาเซียนบนระบบคลาวด์
  • การส่งเสริมการบ่มเพาะ “หัวกะทิ”
  • และการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรมด้านเทคนิคการใช้งานดาวเทียมสํารวจระยะไกลร่วมกัน

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาการวิจัยและการนําบริการเสริมของผลิตภัณฑ์การสํารวจระยะไกลด้วยดาวเทียมไปประยุกต์ใช้ร่วมกัน การพัฒนาความร่วมมือในโครงการด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมการสํารวจระยะไกลด้วยดาวเทียมจีน-อาเซียนร่วมกัน รวมถึงการแสวงหาแนวทางการจัดตั้งกลไกลและความร่วมมือเชิงพาณิชย์ด้านการสํารวจระยะไกลด้วยดาวเทียมจีน-อาเซียน

ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน (BIC) ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในบริบทของการเป็น Gateway to ASEAN ของเขตฯ กว่างซีจ้วง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีน (กว่างซี) ได้ใช้งาน China-ASEAN Expo ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีที่นครหนานหนิง เป็นหนึ่งในเวทีสําคัญที่จีนใช้ส่งเสริมการพัฒนาและขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศกับชาติสมาชิกอาเซียน โดยมีการจัดฟอรัมและนิทรรศการที่เกี่ยวข้องเป็นประจําทุกปี

เทคโนโลยีดาวเทียม เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญ

โอกาสสำหรับประเทศไทย

เทคโนโลยีดาวเทียม เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญเนื่องจากเป็น อุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสตาร์ทอัพไทยสามารถพัฒนาความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศที่ตั้งอยู่ในนครหนานหนิง โดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังนี้

  • การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดาวเทียมเป๋ยโต่วที่สอดคล้องกับนิเวศเศรษฐกิจ (ecosystem) ของประเทศไทย
  • การพัฒนาคนที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีดาวเทียมและแอปพลิเคชัน
  • การดึงดูดให้องค์กรในกว่างซีเข้ามามีส่วนร่วมในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมดาวเทียมและอวกาศของไทย
  • รวมทั้งการต่อยอดจากฐานอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่แล้วในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลกว่างซีได้แสดงความพร้อมในการให้การสนับสนุน ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาวิจัย นโยบาย และสิทธิประโยชน์ และการให้บริการข้อมูลแบบเปิด ซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ตลอดจนการลดข้อจํากัดในการใช้งาน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพไทยในการนําเครื่องมือและข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่มีประสิทธิภาพไปศึกษาต่อยอดและพัฒนาโซลูชัน แอปพลิเคชัน และบริการต่าง ๆ ป้อนสู่ตลาดปลายน้ำ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานที่หลากหลายระหว่างไทยและจีน

“ประเทศไทยจําเป็นต้องเร่งเดินหน้าและตักตวงโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศกับชาติมหาอํานาจใหม่ด้านอวกาศอย่างจีน เพื่อต่อยอดและเสริมสร้างศักยภาพการผลิตในอุตสาหกรรมดาวเทียมและอวกาศ อย่าพลาดโอกาสหรือตกขบวน”

คอลัมน์ ชี้ช่องจากทีมทูต เป็นความร่วมมือระหว่างฐานเศรษฐกิจ กับศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ globthailand.com กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ / ข้อมูลจากสถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง