เอปสัน ประกาศกลยุทธ์ “NEW 5” สร้างธุรกิจยั่งยืน

09 มี.ค. 2566 | 10:32 น.

เอปสัน เปิดกลยุทธ์ “NEW 5” มุ่งเสริมไลน์นวัตกรรม เจาะตลาดใหม่ มุ่งกลุ่มลูกค้าองค์กร พร้อมเปิดโมเดลธุรกิจใหม่ เปิดแพลตฟอร์ม Epson iPrint AnyWhere สร้างรายได้ธุรกิจยั่งยืน

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 10% โดยได้วางกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในช่วง Post COVID19 เช่นนี้ ที่จะเน้นสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘New 5’ 

เอปสัน ประกาศกลยุทธ์ “NEW 5” สร้างธุรกิจยั่งยืน

ซึ่งประกอบด้วย New S-curve, New Target, New Business Model, New Service และ New Experience โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นสารสำคัญที่จะถ่ายทอดผ่านกลยุทธ์ทุกทาง

เอปสัน ประกาศกลยุทธ์ “NEW 5” สร้างธุรกิจยั่งยืน

New S-curve เอปสันมีเทคโนโลยี Heat-Free เป็นแกนหลัก ที่จะสร้างการเติบโตต่อไปในอนาคตให้กับเอปสัน ร่วมด้วยเทคโนโลยีอื่นๆ เพื่อสร้างความความยั่งยืนให้กับผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาธุรกิจและการลงทุนสู่ความยั่งยืนของไซโก้ เอปสันคอร์ปอเรชั่น โดยที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่เอปสันประกาศยุติการจำหน่ายเครื่องพิมพ์เลเซอร์ พร้อมเปิดตัวเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่นอิงค์เจ็ทในกลุ่ม WorkForce Enterprise รุ่น AM-Series ที่ใช้หัวพิมพ์ PrecisionCore Heat-Free Technology ที่กินไฟน้อย และถูกออกแบบให้มีชิ้นส่วนประกอบที่ต้องดูแลรักษาน้อย ทำให้บำรุงรักษาง่าย เพื่อมาแข่งขันในตลาดเดียวกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์และเครื่องถ่ายเอกสาร นอกจากนี้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เลเซอร์โปรเจคเตอร์ ที่มีแหล่งกำเนิดแสงแบบเลเซอร์ ให้ความสว่างที่สูงกว่าแต่กินไฟน้อยกว่าเทคโนโลยีแบบหลอดภาพกำลังสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาด

New Target เอปสันจะใช้ความได้เปรียบในด้านผลิตภัณฑ์ที่มีจำนวนรุ่นที่หลากหลายที่สุดในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทความเร็วสูงที่เอปสันได้เข้าไปทำตลาดในกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสาร ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่อย่าง WorkForce Enterprise AM-Series เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่จะมาช่วยเติมเต็มไลน์สินค้าและสร้างโอกาสในการเพิ่มการขาย ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี สอดคล้องกับข้อมูลตลาดจาก IDC เปิดเผยว่าประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาค นอกจากนี้ยังมีสินค้าในกลุ่มเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงเลเซอร์โปรเจคเตอร์ทำให้สามารถครอบคลุมความต้องการใช้งานได้หลากหลาย สร้างโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใหม่หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่

New Business Model เอปสัน ได้เริ่มทำธุรกิจเชิงการบริการ เช่นการนำเสนอรูปแบบบริการการพิมพ์แบบจ่ายรายเดือนอย่าง EasyCare ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนการพิมพ์ของตัวเองได้ ไม่ต้องสต๊อกหมึก เพราะบริษัทฯ จะส่งหมึกให้โดยคำนวณค่าใช้จ่ายจากจำนวนพิมพ์รายแผ่น ทั้งยังมีบริการ On-site service ส่งช่างซ่อมไปถึงออฟฟิศ และในครึ่งปีหลังของปีนี้มีแผนเปิดการให้บริการการพิมพ์ภายใต้คอนเซ็ป Epson iPrint AnyWhere เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวหลังการระบาดของโควิด-19 ที่มีรูปแบบการทำงานเป็นแบบ Hybrid มากขึ้น ทำให้เกิดความต้องการในการพิมพ์งานเอกสารตามสถานที่ต่างๆ โดยบริการนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้และองค์กรในการพิมพ์เอกสารได้จากหลายสถานที่ ผ่านเครื่องพิพม์เอปสันในสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่าย

เอปสัน ประกาศกลยุทธ์ “NEW 5” สร้างธุรกิจยั่งยืน

New Experience เอปสัน ประเทศไทย ได้มีการลงทุนในการสร้างโซลูชันเซ็นเตอร์แห่งใหม่ ซึ่งจะเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยจะรวบรวมผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่มาจัดแสดง พร้อมกับทำการสาธิตและจัดอบรมให้กับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าที่สนใจ ให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานเครื่องจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าองค์กร นอกจากนี้ โซลูชั่นเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้ยังถูกออกแบบด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืน เพื่อเป็นแบบแผนหรือต้นแบบให้องค์กรธุรกิจทั่วไปในการนำไปปรับใช้ในธุรกิจของตน

New Service ในด้านการบริการ เอปสันได้ทำการเสริมศักยภาพการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย โดยก่อนการขาย เอปสันได้เพิ่มทีมงาน Pre-sales เพื่อให้สนับสนุนการทำโซลูชั่นต่างๆ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการสนับสนุนข้อมูลผ่านทางdigital platform ต่างๆ และที่สำคัญในปีใหม่นี้ เอปสันมีแผนขยายเครือข่ายการให้บริการหลังการขายของสินค้ากลุ่ม B2B จาก 122 แห่ง เป็น 130 แห่ง เพื่อตอบสนองการขยายตัวของสินค้าเอปสัน กลุ่ม B2B ที่ออกไปยังภูมิภาคมากขึ้น รองรับการขยายตัวของตลาด และลดระยะเวลาในการส่งเครื่องซ่อม

นายยรรยง กล่าวต่อไปว่าบริษัทฯ มีการรับรู้รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มในปี 2565 เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% ซึ่งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่บริษัทฯ สามารถทำได้ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ภาคธุรกิจเอกชนและหน่วยงานราชการได้มีการลงทุนกับอุปกรณ์ไอที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถาบันการศึกษาจำนวนมากเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ และการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้มีการจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับการกลับมาให้บริการอีกครั้งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศได้เป็นปกติ รวมไปถึงภาคการผลิตของไทยก็ยังใช้ระบบซัพพลายเชนภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ก็เริ่มคลี่คลาย ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดไอทีในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น”