KEY
POINTS
ผู้บริหารระดับสูงทั่วโลกกำลังเผชิญกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบ Agentic AI จากผลสำรวจ Pulse of Change ของเอคเซนเชอร์ (Accenture) พบข้อมูลสำคัญว่า 90% ของผู้บริหารระดับสูงคาดว่า ตนเองจะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นอย่างมากในปี 2568 ทว่ากลับมีผู้บริหารจำนวนมากที่ยังขาดความมั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สถานการณ์นี้ได้สร้าง “ช่องว่างความสามารถในการปรับตัว (Resilience Gap)” ขึ้น โดยมีผู้บริหารเพียง 42% เท่านั้นที่เชื่อว่าองค์กรมีความพร้อมสูงในการรับมือ ขณะเดียวกัน 22% ของผู้บริหารระดับสูงยังคาดการณ์ว่ารายได้ขององค์กรจะชะลอตัวลงในปี 2568 ซึ่งสะท้อนความระมัดระวังท่ามกลางภาวะทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวย ช่องว่างความไม่พร้อมที่จะปรับตัวของผู้บริหารนี้กำลังส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อผลประกอบการขององค์กร
การนำ Agentic AI มาใช้กำลังกลายเป็นกระแสหลัก ซึ่งถือเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่ของวิวัฒนาการ AI อย่างแท้จริง โดยพบว่าองค์กรมากกว่า 60% ทั่วโลกมีการลงทุนใน AI Agents อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 แม้ผู้บริหาร 87% ยอมรับว่า กระบวนการทำงานยุคใหม่เกิดขึ้นได้ด้วย AI Agents แต่ยังมีพนักงานจำนวนมากที่ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างชัดเจน
ความปั่นป่วนด้านทักษะของบุคลากรยังเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ผู้บริหารเพียง 40% เท่านั้นที่รู้สึกว่าพร้อมรับมือ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร 2 ใน 3 ยังคงเชื่อมั่นว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและ AI รวมถึงกลยุทธ์การพัฒนาทักษะและความสามารถของบุคลากร จะช่วยให้องค์กรก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้
ช่องว่างการนำ Agentic AI มาใช้จริง
แม้จะมีการลงทุนสูง แต่การนำมาใช้งานจริงกลับยังล่าช้า โดยมีองค์กรเพียง 3 ใน 10 เท่านั้น ที่นำ AI Agents มาใช้งานอย่างจริงจัง อุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำในการนำ AI Agents มาใช้คือ อุตสาหกรรมอวกาศและการป้องกันประเทศ เคมีภัณฑ์ และเทคโนโลยีชั้นสูง นอกจากนี้ มีเพียง 36% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่เชื่อว่าพวกเขามีกลยุทธ์ด้านบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับการนำ AI Agents มาใช้
ในด้านการมีส่วนร่วมของพนักงานยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่าง ขณะที่พนักงาน 42% ทำงานร่วมกับ AI Agents เป็นประจำ แต่มีอีก 36% ที่ไม่ได้ใช้งานเป็นประจำ และ 17% ไม่ได้ใช้ในการทำงานเลย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องสื่อสารและจัดฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น โดยมีพนักงานเพียง 35% เท่านั้น ที่รู้สึกสบายใจที่จะมอบหมายงานให้ AI Agents ช่วยทำ
สถานการณ์ในเอเชียแปซิฟิกและการขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์
สำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) มีการลงทุนใน Agentic AI อย่างจริงจัง โดย 63% ของผู้บริหารระดับสูงลงทุนในเทคโนโลยีนี้ และ 83% เชื่อว่าองค์กรมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีสำหรับการนำ AI Agents เข้ามาใช้ รวมถึง 82% รู้สึกว่ากลยุทธ์การบริหารบุคลากรของตน สามารถรองรับการนำ Agentic AI มาใช้ได้ดี
ในด้านการใช้งาน พบว่า 57% ของผู้บริหารในภูมิภาคกำลังทดลองหรือเริ่มนำ AI Agents มาใช้งานจริง แม้จะมีพนักงาน 45% เท่านั้นที่ใช้ AI Agents เป็นประจำ แต่อัตราการเปิดรับถือว่าอยู่ในระดับสูง เนื่องจาก 83% ให้ AI Agents ช่วยทำงานประจำซ้ำ ๆ ได้อย่างไม่กังวล และ 82% เชื่อว่า AI Agents ช่วยให้มีเวลาไปโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์หรืองานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
กลยุทธ์ 5 ข้อสำหรับผู้นำ
ความสำเร็จในการนำ Agentic AI มาใช้เพื่อปิดช่องว่างความพร้อมในการปรับตัว จำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ที่สำคัญ 5 ประการสำหรับผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย
1.ผู้นำต้องยึดคนเป็นศูนย์กลาง: ใช้ AI เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพมนุษย์ และมุ่งเน้นการลงทุนด้านการฝึกอบรมและเพิ่มทักษะพนักงาน
2.ธรรมาภิบาลและจริยธรรม: ยึดมั่นในความยุติธรรม โปร่งใส และแน่ใจว่าระบบ AI สามารถอธิบายได้ ปราศจากอคติ
3. มีวิสัยทัศน์ที่คำนึงถึงผลในระยะยาว: สร้างสมดุลระหว่างการเปลี่ยนแปลงและการมีความรับผิดชอบ โดยให้โครงการ AI สอดคล้องกับค่านิยมหลักขององค์กร
4.ส่งเสริมการกำกับดูแลและบริหารความเสี่ยง: บริหารความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และความรับผิดชอบของอัลกอริทึม
5. สื่อสารอย่างโปร่งใส เน้นการทำงานร่วมกัน: สื่อสารอย่างชัดเจนว่าจะใช้ AI อย่างไร และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างสม่ำเสมอ