เปิดเทรนด์ AI ปี 69 'Agentic AI' มาแรง ธุรกิจเร่งปรับตัว เข้าถึงง่าย-ราคาถูก

ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) เปิดเผยว่า ปี 2569 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ AI โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือ Agentic AI หรือ AI ที่ทำงานแทนเราได้เอง จะเปลี่ยนวิธีการใช้งานจาก “ผู้ช่วย” เป็น “ผู้ดำเนินการ” ที่รับมอบหมายงานและทำให้เสร็จจนจบได้เอง เช่น การวางแผนการเดินทาง หรือการวิเคราะห์ข้อมูลสร้างรายงานในงานธุรกิจ

เทรนด์สำคัญถัดมาคือ Multimodal AI ซึ่ง AI จะเข้าใจทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และเสียงผสมผสานกัน ทำให้ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุดมากขึ้น เช่น ถ่ายรูปเอกสารแล้ว AI สรุปเนื้อหาและแปลภาษาได้ทันที ความสามารถนี้ทำให้ AI เข้าใกล้การรับรู้แบบมนุษย์มากขึ้น

ด้านราคา AI จะมีแนวโน้มสงครามราคา ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงอีก 30-40% ส่งผลให้ SME และคนทั่วไปเข้าถึง AI ระดับพรีเมียมได้ง่ายขึ้น จากที่เคยต้องจ่ายหลักพันบาทต่อเดือนจะเหลือหลักร้อยบาท นอกจากนี้ Edge AI จะทำให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ประมวลผล AI บนเครื่องได้โดยไม่ต้องส่งข้อมูลไปคลาวด์ ซึ่งเร็วขึ้นและปลอดภัยกว่า

ด้านการใช้งานจะเห็น AI เฉพาะทางสำหรับแต่ละวิชาชีพ มากขึ้น ทั้งหมอ ทนายความ สถาปนิก ที่เข้าใจศัพท์เทคนิคและบริบทเฉพาะเจาะจง รวมถึง AI ที่เข้าใจกฎหมายไทย หรือระเบียบราชการไทยโดยเฉพาะ

“AI Coding Assistant จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่เป็นดาบสองคม หากนักพัฒนารุ่นใหม่พึ่งพา AI มากเกินไป อาจไม่ได้เรียนรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรมอย่างแท้จริง”

อีกเทรนด์คือการใช้ AI ในการสร้างคอนเทนต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และเสียง จะแพร่หลายมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่ต้องตามมาคือคำถามเรื่องลิขสิทธิ์และความน่าเชื่อถือของข้อมูล คาดการณ์ว่า ภายในปี 2570-71 AI จะกลายเป็นสาธารณูปโภคเหมือนอินเทอร์เน็ต แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ช่องว่างระหว่างคนที่ใช้ AI เป็นกับไม่เป็นจะกว้างขึ้นอย่างมาก

ด้านนายราฟาเอล ซิสโลว์สกี ผู้จัดการประจำประเทศไทย Google ได้เปิดเผยการวิเคราะห์ว่า ปี 2569 จะเป็นช่วงเวลาที่ AI จะก้าวข้ามจากการทดลองไปสู่การใช้งานที่แทรกซึมและสร้างมูลค่าจริงอย่างมีนัยสำคัญ โดยโอกาสเข้าถึงและการนำ AI ไปใช้ (Adoption) จะยังคงเป็นประเด็นหลักที่น่าจับตา เนื่องจาก Use Cases ของ AI ที่จะเข้ามาปรับปรุงคุณภาพชีวิตประจำวันของผู้คนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับผู้บริโภค การพัฒนา AI จะมุ่งเน้นไปที่การมอบ ประสบการณ์ที่แท้จริง (Authentic Experience) และมีความเฉพาะเจาะจงกับผู้ใช้งานแต่ละรายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องแลกมาด้วยการที่ผู้บริโภคจะต้องมี ความเชื่อมั่น (trust) และยินยอมให้ AI เข้าถึง ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นทิศทางที่เทคโนโลยีกำลังมุ่งไปอย่างรวดเร็ว

ในมุมมองของภาคธุรกิจ (Enterprise) นายซิสโลว์สกีคาดการณ์ว่า AI จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยองค์กรต่าง ๆ จะเริ่มเห็นการ ปฏิวัติโมเดลธุรกิจ เพื่อใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มศักยภาพ การนำ AI มาใช้จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของข้อเสนอ ความแม่นยำ และการปรับแต่งรูปแบบการให้บริการลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่าน AI ก็จะส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิขององค์กร

นายซิสโลว์สกี เน้นย้ำว่า ธุรกิจจะต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการทดลองไปสู่การใช้ AI ในลักษณะที่มี โครงสร้าง (structured approach) เพื่อให้สามารถ จับมูลค่า (Capturing Value) และเห็นผลกำไรที่ชัดเจนได้จริง โดยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะก่อให้เกิด ช่องว่างในการแข่งขัน (Competitive Gap) ที่กว้างขึ้นระหว่างกลุ่มธุรกิจที่ปรับตัวเร็ว (Fast Movers) และกลุ่มที่ปรับตัวช้า ซึ่งกลุ่มแรกจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างมหาศาล

ขณะที่ นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด ยืนยันว่า AI ได้ก้าวหน้าถึงจุดที่สามารถสร้าง AI Agent ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ชี้ให้เห็นว่า CoPilot Engine มีความสามารถด้านองค์ความรู้เทียบเท่าระดับผู้จบ ปริญญาเอก (PhD)

การพัฒนายังรวมถึงความสามารถด้าน Multi-Model ซึ่งทำให้ AI สามารถรับ Input และให้ Output ได้หลากหลายรูปแบบ โดยวิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดคือการที่ AI สามารถสร้าง Agent ซึ่งทำหน้าที่ได้มากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว โดยเป็นเสมือนเพื่อนร่วมงานที่ ฝังตัว (Embedded) อยู่ในกระบวนการทำงาน Agent เหล่านี้สามารถจัดการขั้นตอนงานภายในองค์กรโดยอัตโนมัติ เช่น การจัดการ Invoice ซึ่งสะท้อนว่า AI ได้เข้าสู่การสร้าง วิถีการทำงานแบบใหม่

นายธนวัฒน์คาดการณ์ว่าในปี 2569 จุดเน้นจะเปลี่ยนไปสู่ การปรับใช้ขนาดใหญ่ (Large Scale Adoption) ในระดับองค์กร โดย Agent จะขยายตัวเป็น Agent ระดับแผนก และ Agent ระดับองค์กร เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพโดยรวม

ในส่วนของการปรับตัว องค์กรจำเป็นต้องเร่งสร้าง ทักษะ (Skill) ให้กับบุคลากร พร้อมจัดหาเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงด้านข้อมูลรั่วไหล และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ Re-imagine Process (คิดค้นกระบวนการทำงานใหม่) โดยใช้ AI Agent เข้ามาเป็นหัวใจหลัก ไม่ใช่เพียงแค่การ Automate Process ขณะที่พนักงานเองต้อง เปิดรับ และ อย่ากลัว AI เพราะด้วย Generative AI ที่เข้าถึงง่ายด้วยภาษามนุษย์ การใช้ AI เป็นผู้ช่วย (augment) จะทำให้ความสามารถของบุคลากรเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมหาศาล