KEY
POINTS
นายซันดาร์ พิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google และ Alphabet ได้กล่าวถึงความสำเร็จของยุค Gemini ที่ดำเนินมาเกือบ 2 ปี โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการทางวิทยาศาสตร์และผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของบริษัท
พร้อมเปิดเผยตัวเลขที่สะท้อนถึงการใช้งานอย่างกว้างขวาง โดยปัจจุบัน AI Overviews มีผู้ใช้งานแตะ 2 พันล้านคนต่อเดือน และแอปพลิเคชัน Gemini มีผู้ใช้งานเกิน 650 ล้านคนต่อเดือน นอกจากนี้ ลูกค้า Cloud ของ Google กว่า 70% ได้นำเทคโนโลยี AI ของบริษัทไปปรับใช้แล้ว และมีนักพัฒนาถึง 13 ล้านคนกำลังสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยโมเดลสร้างสรรค์ (Generative Models)
นายพิชัยชี้แจงว่า การนำความสามารถขั้นสูงของ AI ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วนั้น มาจากการใช้แนวทาง 'ฟูลสแตก' (Full-Stack Approach) ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานชั้นนำ ไปจนถึงการวิจัย การพัฒนาโมเดล เครื่องมือระดับโลก และการนำไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
Gemini 3 ถูกพัฒนาต่อยอดจากความก้าวหน้าในโมเดลรุ่นก่อนหน้า
Gemini 1 ได้บุกเบิกในด้านการทำงานแบบหลายรูปแบบโดยกำเนิด (Native Multimodality) และการขยายหน้าต่างบริบทแบบยาว (Long Context Window) เพื่อเพิ่มปริมาณและประเภทของข้อมูลที่สามารถประมวลผลได้
Gemini 2 ได้วางรากฐานสำหรับความสามารถเชิงตัวแทน (Agentic Capabilities) และผลักดันขอบเขตของการให้เหตุผลและการคิด (Reasoning and Thinking) ซึ่งช่วยในการจัดการกับงานและความคิดที่ซับซ้อน นำไปสู่การที่ Gemini 2.5 Pro สามารถครองอันดับหนึ่งใน LMArena ได้นานกว่าหกเดือน
ความก้าวหน้าเหนือกว่า Gemini 2.5 Pro: จากการให้เหตุผลสู่การ "อ่านบรรยากาศ"
ความแตกต่างที่สำคัญของ Gemini 3 ที่ถูกเน้นย้ำคือการก้าวกระโดดจากขีดจำกัดของ Gemini 2.5 Pro ในด้านการให้เหตุผลและการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน แม้ว่า Gemini 2.5 Pro จะถูกยอมรับว่ามีประสิทธิภาพการให้เหตุผลที่สูงและได้รับการจัดอันดับเป็นโมเดลชั้นนำมาอย่างยาวนาน แต่ Gemini 3 ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เหนือกว่า โดยเฉพาะในด้านการทำความเข้าใจความละเอียดอ่อนของข้อมูล ซึ่งสะท้อนผ่านความสามารถที่นายพิชัยกล่าวถึงคือการพัฒนาจากการอ่านข้อความและรูปภาพธรรมดา ๆ ไปสู่การ "อ่านบรรยากาศ" (reading the room)
ความสามารถในการ "อ่านบรรยากาศ" นี้ แสดงให้เห็นว่า Gemini 3 สามารถเข้าใจบริบทที่ซ่อนอยู่ ความแตกต่างทางอารมณ์ และความตั้งใจที่แท้จริงของผู้ใช้งานได้ดีขึ้นมาก ทำให้การตอบสนองมีความแม่นยำและเป็นธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการโดยใช้คำสั่ง (Prompting) ที่สั้นและน้อยลง ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญของความฉลาดเชิงคุณภาพ (Qualitative Intelligence) ของโมเดล
นายเดมิส ฮัสซาบิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Google DeepMind และ นายคอเรย์ คาวุคคูโอกลู ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Google DeepMind ได้ร่วมยืนยันว่า Gemini 3 เป็นการก้าวไปอีกขั้นสู่ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) โดยกล่าวว่าโมเดลนี้เป็นโมเดลที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการทำความเข้าใจแบบหลายรูปแบบ และเป็นโมเดลเชิงตัวแทน (Agentic) และการเข้ารหัสบรรยากาศ (Vibe Coding) ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัท ซึ่งมอบการโต้ตอบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Google ได้เริ่มต้นยุค Gemini 3 ด้วยการเปิดตัว Gemini 3 Pro ในรูปแบบพรีวิว ซึ่งพร้อมให้ใช้งานในชุดผลิตภัณฑ์ของ Google แล้ว นอกจากนี้ ยังได้มีการแนะนำ Gemini 3 Deep Think ซึ่งเป็นโหมดการให้เหตุผลที่ได้รับการปรับปรุง ที่จะช่วยผลักดันประสิทธิภาพของ Gemini 3 ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยโหมดนี้จะเปิดให้ผู้ทดสอบความปลอดภัยเข้าถึงก่อน ก่อนที่จะขยายไปยังสมาชิก Google AI Ultra
การนำ Gemini 3 ไปประยุกต์ใช้ในวงกว้างจะดำเนินการทันที:
ผู้บริหาร Google สรุปว่า ในบทใหม่ของ Gemini นี้ บริษัทจะยังคงผลักดันขอบเขตของความฉลาด ความสามารถเชิงตัวแทน และการปรับให้เป็นส่วนตัว เพื่อให้ AI สามารถสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงให้กับทุกคนได้อย่างต่อเนื่อง