KEY
POINTS
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเดิมที่เป็นเพียง “การทดลองใช้” สู่ “การกำกับใช้” อย่างเป็นระบบ เมื่อสามเสาหลักของสังคมการแพทย์ กฎหมาย และศาลยุติธรรม ต่างตื่นตัวและขยับพร้อมกัน เพื่อวางกรอบ มาตรฐาน และหลักการกำกับการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการคงไว้ซึ่งอำนาจตัดสินใจของมนุษย์
ดร.พีรภัทร ฝอยทอง อุปนายกฝ่ายวิชาการ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สภาทนายความฯ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งคณะทำงานหารือร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดทำ “แนวปฏิบัติการใช้ AI สำหรับทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย” เป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 พร้อมยกระดับการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรสมัยใหม่ อาทิ กฎหมาย Compliance สำหรับธุรกิจการเงิน-การธนาคาร-ประกันภัย กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน และกฎหมายทางการแพทย์
ศาลฎีกา ยํ้าใข้ AI อย่างเป็นธรรม-รับผิดชอบ
นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่าศาลยุติธรรมไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่และการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการปฏิบัติงานคดี แต่การใช้ในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาลจำเป็นต้องมีกรอบและกติกาในการใช้งาน ดังเช่นที่องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรออกมาให้คำแนะนำ เช่น Council of Europe, UNESCO, OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ต่างให้คำแนะนำว่าการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเปิดเผย (disclose)
โดยประธานศาลฎีกาได้ออก “คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานคดี พ.ศ. 2568” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาลทุกฝ่ายว่า การใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของกระบวนการศาลด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อควรคำนึงถึงอื่น ๆ เช่น การนำพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่มีข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ใส่ลงไปในคำสั่ง (Prompt) เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์ประมวลผลอาจต้องระมัดระวังและพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อบุคคลที่สามหรือไม่
ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงขอเน้นย้ำว่า แม้การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะ Generative AI จะทำให้ลดเวลา ลดภาระ ในการทำงานคดีก็จริง แต่มีข้อจำกัดและข้อที่ต้องระมัดระวังอย่างมากในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาล ยิ่งมีข้อควรระมัดระวังเกี่ยวกับกรอบการใช้งานที่ต้องเคารพหลัก Due Process of Law (กระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในกระบวนพิจารณา
แพทยสภา เร่งวางกรอบใช้ AI ปลอดภัย-โปร่งใส
ด้านนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ สภานายกพิเศษแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งต้องมีมาตรฐาน AI การขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบ Telemedicine มาช่วยประเมินอาการเบื้องต้น และเชื่อมต่อกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนา Super App ที่รวมบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว มีระบบ AI คอยช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
โดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะทำงาน ร่วมกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง โดยแพทย์ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการรักษา AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยสนับสนุน ขณะเดียวกันมีแนวคิดที่จะนำจุดแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ การหารายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง / หรือ ATMPs (เอ-ที-เอ็ม-พี)
ซึ่งนโยบายนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ที่จะเข้ามารับบริการ ว่ามีความปลอดภัยและมีประโยชน์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับแพทยสภาอย่างเต็มที่ ในการปรับปรุง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฉบับใหม่ เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบททางการแพทย์และสาธารณสุข ในการกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม
โดยยึดมั่นในจรรยาบรรณ และประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง และขอยืนยันว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของแพทยสภาอย่างเต็มกำลัง ทั้งด้านงบประมาณ กฎหมาย มาตรการ การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการร่วมกันพัฒนามาตรฐาน การใช้เทคโนโลยี และ AI ทางการแพทย์ เพื่อสร้างระบบสุขภาพ ที่เข้มแข็ง ยั่งยืน ทันสมัย มีธรรมาภิบาลและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนและประเทศชาติต่อไป