วงการแพทย์-กฎหมาย-ศาล ตื่นวางกรอบใช้ AI อย่างรับผิดชอบ

16 ต.ค. 2568 | 01:32 น.

3 เสาหลักวิชาชีพกฎหมาย ระบบศาล และสาธารณสุข ประกาศเดินหน้าออกกรอบ มาตรฐาน และหลักสูตรใหม่ เพื่อให้การใช้ AI โปร่งใส ตรวจสอบได้ และคงอำนาจการตัดสินใจไว้ที่ผู้เชี่ยวชาญมนุษย์

KEY

POINTS

  • วงการแพทย์ กฎหมาย และศาลยุติธรรมของไทย กำลังร่วมกันวางกรอบและมาตรฐานการใช้ AI อย่างรับผิดชอบ โดยเน้นความโปร่งใสและให้มนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจหลัก
  • สภาทนายความฯ จัดทำแนวปฏิบัติการใช้ AI สำหรับนักกฎหมาย ขณะที่ศาลฎีกาออกคำแนะนำให้ผู้ใช้ต้องเปิดเผยข้อมูลและรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ได้จาก AI ในการทำคดี
  • แพทยสภาเร่งกำหนดแนวทางการใช้ AI ทางการแพทย์ที่ปลอดภัย โดยให้ AI เป็นเพียงเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของแพทย์ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากเดิมที่เป็นเพียง “การทดลองใช้” สู่ “การกำกับใช้” อย่างเป็นระบบ เมื่อสามเสาหลักของสังคมการแพทย์ กฎหมาย และศาลยุติธรรม ต่างตื่นตัวและขยับพร้อมกัน เพื่อวางกรอบ มาตรฐาน และหลักการกำกับการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการคงไว้ซึ่งอำนาจตัดสินใจของมนุษย์

ดร.พีรภัทร ฝอยทอง อุปนายกฝ่ายวิชาการ สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า สภาทนายความฯ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งคณะทำงานหารือร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) จัดทำ “แนวปฏิบัติการใช้ AI สำหรับทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย” เป้าหมายให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 พร้อมยกระดับการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรสมัยใหม่ อาทิ กฎหมาย Compliance สำหรับธุรกิจการเงิน-การธนาคาร-ประกันภัย กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลและบล็อกเชน และกฎหมายทางการแพทย์

วงการแพทย์-กฎหมาย-ศาล ตื่นวางกรอบใช้ AI อย่างรับผิดชอบ สภาทนายความฯ พร้อมร่วมมือกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของทนายความไทย ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล สะท้อนโจทย์คู่ขนานทั้งด้านจริยธรรมวิชาชีพและทักษะดิจิทัลที่ต้องเดินไปพร้อมกัน

ศาลฎีกา ยํ้าใข้ AI อย่างเป็นธรรม-รับผิดชอบ

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวว่าศาลยุติธรรมไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่และการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการปฏิบัติงานคดี แต่การใช้ในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาลจำเป็นต้องมีกรอบและกติกาในการใช้งาน ดังเช่นที่องค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรออกมาให้คำแนะนำ เช่น Council of Europe, UNESCO, OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ต่างให้คำแนะนำว่าการใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และการเปิดเผย (disclose)

โดยประธานศาลฎีกาได้ออก “คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานคดี พ.ศ. 2568” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำผู้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาลทุกฝ่ายว่า การใช้งานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบความเป็นธรรมและความบริสุทธิ์ยุติธรรมของกระบวนการศาลด้วย

วงการแพทย์-กฎหมาย-ศาล ตื่นวางกรอบใช้ AI อย่างรับผิดชอบ โดยหลักการสำคัญที่คู่ความที่เรียบเรียงและยื่นคำคู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลง ต่อศาลต้องยึดเป็นหลักสำคัญก็คือ ต้องเปิดเผยถึงการใช้ข้อมูลที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวตามหลักการเปิดเผย (disclose) และความโปร่งใส (Transparency) อีกทั้งคู่ความจะต้องตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลและสร้างเนื้อหาของปัญญาประดิษฐ์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาคำคู่ความ คำร้อง คำขอ คำแถลง หรือข้อกฎหมาย หรือแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ปัญญาประดิษฐ์ค้นหาอ้างอิงมาให้ เพราะคู่ความเป็นผู้ที่ต้องจะรับผิดชอบต่อการใช้สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นสร้างขึ้นตามหลักความรับผิดชอบ (Accountability)

นอกจากนี้ ยังมีข้อควรคำนึงถึงอื่น ๆ เช่น การนำพยานหลักฐานในสำนวนคดีที่มีข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ใส่ลงไปในคำสั่ง (Prompt) เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์ประมวลผลอาจต้องระมัดระวังและพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบว่าจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อบุคคลที่สามหรือไม่

ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงขอเน้นย้ำว่า แม้การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะ Generative AI จะทำให้ลดเวลา ลดภาระ ในการทำงานคดีก็จริง แต่มีข้อจำกัดและข้อที่ต้องระมัดระวังอย่างมากในการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติงานคดีในชั้นศาล ยิ่งมีข้อควรระมัดระวังเกี่ยวกับกรอบการใช้งานที่ต้องเคารพหลัก Due Process of Law (กระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย) อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในกระบวนพิจารณา

แพทยสภา เร่งวางกรอบใช้ AI ปลอดภัย-โปร่งใส

ด้านนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ สภานายกพิเศษแพทยสภา กล่าวว่า แพทยสภาให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งต้องมีมาตรฐาน AI การขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพไปยังพื้นที่ห่างไกล ผ่านระบบ Telemedicine มาช่วยประเมินอาการเบื้องต้น และเชื่อมต่อกับแพทย์เฉพาะทางได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนา Super App ที่รวมบริการสุขภาพไว้ในที่เดียว มีระบบ AI คอยช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

วงการแพทย์-กฎหมาย-ศาล ตื่นวางกรอบใช้ AI อย่างรับผิดชอบ

โดยกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะทำงาน ร่วมกับแพทยสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อกำหนดแนวทางการใช้ AI ที่ปลอดภัย โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง โดยแพทย์ยังคงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในการรักษา AI เป็นเพียงเครื่องมือช่วยสนับสนุน ขณะเดียวกันมีแนวคิดที่จะนำจุดแข็งด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ การหารายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง / หรือ ATMPs (เอ-ที-เอ็ม-พี)

ซึ่งนโยบายนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ที่จะเข้ามารับบริการ ว่ามีความปลอดภัยและมีประโยชน์ และพร้อมที่จะร่วมมือกับแพทยสภาอย่างเต็มที่ ในการปรับปรุง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฉบับใหม่ เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับบริบททางการแพทย์และสาธารณสุข ในการกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของแพทย์ผู้ปฏิบัติงานอย่างเป็นธรรม

โดยยึดมั่นในจรรยาบรรณ และประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างแท้จริง และขอยืนยันว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของแพทยสภาอย่างเต็มกำลัง ทั้งด้านงบประมาณ กฎหมาย มาตรการ การพัฒนาบุคลากร รวมถึงการร่วมกันพัฒนามาตรฐาน การใช้เทคโนโลยี และ AI ทางการแพทย์ เพื่อสร้างระบบสุขภาพ ที่เข้มแข็ง ยั่งยืน ทันสมัย มีธรรมาภิบาลและเป็นที่เชื่อมั่นของประชาชนและประเทศชาติต่อไป