KEY
POINTS
อุตสาหกรรมจัดเก็บข้อมูลของโลกกำลังเผชิญ “ภาวะขาดแคลนฮาร์ดดิสก์” ครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปี หลังมีรายงานจาก DigiTimes ว่า ฮาร์ดดิสก์เกรดองค์กร (Enterprise/Nearline HDD) มีออเดอร์ค้าง (backorder) ยาวถึง 24 เดือน หรือเกือบ 2 ปีเต็ม เนื่องจากการเร่งสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ AI และคลาวด์ขนาดมหึมาทั่วโลก ทำให้ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลพุ่งสูงเกินกำลังการผลิตจะรองรับได้ทัน
ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของระบบ Generative AI ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่และจัดเก็บชุดข้อมูลเทรนนิ่ง (training dataset) อย่างมหาศาล ส่งผลให้ ฮาร์ดดิสก์ความจุสูง ที่ใช้ในระบบ Nearline Storage ถูกจองล่วงหน้าจากผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ แบบ Hyperscaler รายใหญ่ทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และจีน จนลูกค้าทั่วไปต้อง “รอคิวเป็นปี” หากต้องการล็อตใหม่ ขณะเดียวกันโรงงานผลิตยังต้องแบ่งกำลังระหว่าง HDD, DRAM และ NAND ซึ่งต่างก็ถูกดูดเข้าตลาด AI พร้อมกัน ทำให้ Buffer Stock ที่เคยมี 2–3 เดือน ลดเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ความต้องการ QLC SSD ที่พุ่งแรงก็ส่งผลให้กำลังการผลิตของผู้ผลิต NAND รายใหญ่ถูกจองเต็มยาวถึงปี 2569 ทำให้ตลาดสตอเรจทั่วโลกเสี่ยงเผชิญภาวะ “ขาดแคลนซ้ำซ้อน” ซึ่งจะกระทบถึงราคาสินค้าในกลุ่ม HDD, SSD และระบบ NAS สำหรับผู้บริโภคปลายทางอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป คือ ราคาฮาร์ดดิสก์ความจุสูงและ SSD รุ่นคุ้มค่ามีแนวโน้มปรับขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าบางรุ่นอาจหายจากตลาดช่วงสั้น ๆ หรือมีรอบจัดส่งล่าช้าหลายเดือน ผู้ใช้ปลายทางจึงจำเป็นต้องวางแผนสำรองข้อมูลและจัดซื้ออุปกรณ์ล่วงหน้า
ผู้ผลิตรายใหญ่ทั้ง Seagate และ Western Digital ต่างออกมายอมรับว่า ปริมาณคำสั่งซื้อจากผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ อาทิ Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure และ Google Cloud เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพื่อรองรับระบบ AI เชิงพาณิชย์และการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่ (LLM)
จากข้อมูลของนักวิเคราะห์ตลาดชี้ว่า ฮาร์ดดิสก์ ไดร์ฟ ขนาด 20 เทราไบต์ขึ้นไป ซึ่งนิยมใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มีราคาขายส่งปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยบางรุ่นขยับจาก 350 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11,375 บาท) มาอยู่ที่ 450 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 14,625 บาท) ในช่วงไม่ถึง 6 เดือน ขณะที่รุ่น 32 เทราไบต์ ซึ่งเป็นสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุดของตลาด ขึ้นราคาจาก 550 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17,875 บาท) เป็นมากกว่า 700 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,750 บาท) แล้วในบางภูมิภาค
ในอีกด้านหนึ่ง ภาวะขาดแคลนฮาร์ดดิสก์ครั้งนี้กลับกลายเป็น “โอกาสสำคัญ” สำหรับประเทศไทย ซึ่งแม้เคยถูกมองว่าเป็นฐานผลิตเทคโนโลยีเก่า แต่ปัจจุบันยังคงเป็น ฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์หลักของโลกกว่า 80% โดยมีทั้งบริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) ที่ล่าสุดขยายกิจการผลิตฮาร์ดดิสก์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง มูลค่าลงทุนกว่า 23,516 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเขตอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี
ขณะเดียวกัน บริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) ก็เพิ่งลงทุนขยายการผลิตครั้งใหญ่เมื่อปี 2566 มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้ผลิตระดับโลกต่อศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558–มิถุนายน 2567) ประเทศไทยมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์และชิ้นส่วนรวม 42 โครงการ มูลค่ากว่า 82,600 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในห่วงโซ่เทคโนโลยีโลก