เคล็ดลับเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ ใช้งานแบบไหนก็ดี

17 ก.ย. 2568 | 04:00 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ย. 2568 | 04:27 น.

ซื้อง่ายไม่งง! เคล็ดลับเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์ ใช้งานแบบไหนก็ดี

เครื่องปั่นไฟเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับงานอุตสาหกรรมในหลายๆ รูปแบบ โดยเปลี่ยนพลังงานจากการหมุนของเครื่องยนต์เป็นพลังงานไฟฟ้า สำหรับพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงหรือใช้ในยามฉุกเฉินอย่างไฟดับ การเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ควรเลือกซื้อจากจุดประสงค์การใช้งานก่อน เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างเหมาะสม และตรงตามความต้องการในการใช้งานมากที่สุด โดยบทความนี้ได้แชร์เคล็ดลับเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่แบบเข้าใจง่าย ไม่งง ไร้กังวล และตอบโจทย์มาฝากกัน!

เลือกตามกำลังไฟที่ต้องการ

กำลังไฟ (Wattage) เป็นหน่วยที่จะบอกว่าเครื่องปั่นไฟแต่ละรุ่นสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ยิ่งวัตต์เยอะก็ยิ่งใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากได้ดี โดยทั่วไปบนฉลากของเครื่องปั่นไฟจะระบุหน่วยนี้ไว้อยู่แล้ว โดยหน่วยแต่ละหน่วยสามารถแปลงค่าได้ง่ายๆ ดังนี้

  • 1,000 วัตต์ (W) = 1 กิโลวัตต์ (KW)
  • 800 วัตต์ (W) = 1 กิโลโวลต์แอมป์ (kVA)
  • 746 วัตต์ (W) = 1 แรงม้า (HP)

ตัวอย่างเช่น 5 KW = 5,000 W = 6.25 kVA = 6.7 HP

เมื่อคำนวณได้แล้ว ก็สามารถG]  NVDขนาดเครื่องปั่นไฟให้ตอบโจทย์ตามการใช้งาน ดังนี้

  • เครื่องปั่นไฟขนาดเล็กมาก (ไม่เกิน 800 วัตต์): เหมาะสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐาน เช่น ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ หรือพัดลม
  • เครื่องปั่นไฟขนาดเล็ก (1,500 – 2,500 วัตต์): เหมาะสำหรับอุปกรณ์ช่าง เช่น สว่านไฟฟ้า ปั๊มลม หรือเครื่องดูดฝุ่น
  • เครื่องปั่นไฟขนาดกลาง (3,500 – 5,000 วัตต์): เหมาะสำหรับเครื่องมือที่ต้องการกำลังไฟสูงขึ้น เช่น แท่นตัดไฟเบอร์
  • เครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ (5,000 – 9,000 วัตต์): เหมาะสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูง เช่น เครื่องปรับอากาศขนาด 10,000 BTU

ดูประเภทของเครื่องปั่นไฟ

การพิจารณาซื้อเครื่องปั่นไฟทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ต่างต้องดูประเภทของเครื่องปั่นไฟ เพราะเครื่องแต่ละชนิดออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน ทั้งในครัวเรือน ธุรกิจ หรืออุตสาหกรรม การเลือกประเภทที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด โดยแบ่งได้ดังนี้

  • เครื่องปั่นไฟแบบพกพา (Portable Generator): มีขนาดตั้งแต่เล็ก-กลาง พกพาไปได้สะดวก ใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่กิจกรรมกลางแจ้งไปจนถึงใช้เป็นพลังงานสำรองฉุกเฉินในบ้านตอนไฟดับ เครื่องปั่นไฟชนิดนี้มีน้ำหนักไม่มาก และใช้เชื้อเพลิงได้หลายประเภท เช่น เบนซินหรือดีเซล กำลังผลิตไฟฟ้าอยู่ในช่วง 1-20 kVA
  • เครื่องปั่นไฟสำรอง (Standby Generator): เหมาะสำหรับสถานที่ที่ต้องการพลังงานที่ต่อเนื่อง เช่น โรงพยาบาล โรงแรม หรือโรงงาน โดยจะถูกติดตั้งไว้แบบถาวรและมีระบบสวิตช์อัตโนมัติ ทำงานทันทีเมื่อไฟฟ้าหลักดับลง กำลังผลิตไฟฟ้าเริ่มต้นตั้งแต่ 4,000 kVA ขึ้นไป และมักใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่
  • เครื่องปั่นไฟสำหรับอุตสาหกรรม (Industrial Generator): เป็นเครื่องปั่นไฟที่มีขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิต ศูนย์ข้อมูล หรือสถานีไฟฟ้าย่อย ที่ต้องการพลังงานไฟฟ้าที่ เสถียรและต่อเนื่อง เครื่องชนิดนี้มักใช้เชื้อเพลิงดีเซลและมีการติดตั้งแบบถาวร พร้อมระบบระบายความร้อนและป้องกันเสียงรบกวนอย่างดีเยี่ยม

 

ประเภทของเชื้อเพลิง

การเลือกเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ให้คุ้มค่าที่สุด ควรพิจารณาจากประเภทของเชื้อเพลิง เพราะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการใช้งาน ดังนี้

  • เครื่องปั่นไฟชนิดเบนซิน: มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา พกพาสะดวก เสียงเบา และหาซื้อเชื้อเพลิงง่าย ราคาไม่แพง รวมถึงสตาร์ตเครื่องได้ง่ายและบำรุงรักษาไม่ยุ่งยาก แต่สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าแบบอื่น มีอายุการใช้งานสั้น ไม่เหมาะกับการใช้งานหนักๆ หรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน
  • เครื่องปั่นไฟชนิดดีเซล: ประหยัดน้ำมันมากกว่าเบนซิน สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและทนทาน เหมาะสำหรับงานหนักในโรงงานอุตสาหกรรม และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่มีข้อจำกัดคือ ตัวเครื่องขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก เคลื่อนย้ายลำบาก เสียงดัง
  • เครื่องปั่นไฟชนิดโพรเพน: เชื้อเพลิง เก็บได้นาน โดยไม่เสื่อมสภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าเบนซินและดีเซล เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ปิดที่ต้องการความปลอดภัยสูง แต่มาพร้อมกับข้อจำกัดคือ ต้องใช้ถังแก๊สขนาดใหญ่
  • เครื่องปั่นไฟชนิดก๊าซธรรมชาติ: เชื้อเพลิงมี ราคาถูก หาได้ง่ายในเมืองใหญ่ และปล่อยมลพิษน้อยที่สุด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ติดตั้งยาก ต้องติดตั้งระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติและมีค่าใช้จ่ายสูง
  • เครื่องปั่นไฟชนิดอินเวอร์เตอร์: ผลิตไฟฟ้าคงที่และมีคุณภาพสูง เหมาะสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อ่อนไหว เช่น คอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ ตัวเครื่องมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทำให้พกพาสะดวก และประหยัดน้ำมัน รวมถึงมีเสียงรบกวนต่ำ แต่มีข้อเสียที่กำลังไฟผลิตได้ค่อนข้างต่ำ และมีราคาสูง

 

ระดับเสียงของเครื่องปั่นไฟ

การเลือกระดับเสียงของเครื่องปั่นไฟให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรพิจารณาให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ที่จะนำไปใช้ร่วมด้วย ระดับเสียงเครื่องปั่นไฟจะแตกต่างแต่ละประเภทและขนาดของเครื่อง อย่างเครื่องปั่นไฟแบบพกพา (Portable Generator) มักจะมีเสียงค่อนข้างดังอยู่ที่ 50-80 เดซิเบล ส่วนเครื่องปั่นไฟแบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter Generator) จะมีเสียงอยู่ที่ประมาณ 50-60 เดซิเบล ซึ่งเทียบเท่ากับระดับเสียงของการพูดคุยปกติ ทำให้เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความเงียบเป็นพิเศษ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องที่คุณเลือกจะไม่สร้างมลภาวะทางเสียงมากเกินไป ควรตรวจสอบค่าระดับเสียง (เดซิเบล) ที่ผู้ผลิตระบุไว้ในรายละเอียดสินค้า และเปรียบเทียบกับมาตรฐานเสียงของพื้นที่นั้นๆ เช่น ในพื้นที่พักอาศัยโดยทั่วไปไม่ควรใช้เครื่องที่มีเสียงเกิน 70 เดซิเบล

 

ราคาและความคุ้มค่า

ในการเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟที่คุ้มค่า ควรเริ่มจากการวิเคราะห์ความต้องการใช้งานให้ชัดเจน ทั้งจุดประสงค์ กำลังไฟที่ต้องใช้ (เผื่อไว้ 20-30%) และระยะเวลาใช้งาน จากนั้นให้เลือกประเภทและขนาดของเครื่อง ให้เหมาะสมกับชนิดเชื้อเพลิงที่คุณสะดวกและกำลังไฟที่ต้องการจริงๆ แล้วจึงค่อยเปรียบเทียบราคา และคุณสมบัติของแต่ละรุ่น รวมถึงพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น ความประหยัดน้ำมัน การบริการหลังการขาย และมาตรฐานความปลอดภัย สุดท้ายอย่าลืมเช็กรีวิวจากผู้ใช้งานจริง เพื่อช่วยในการตัดสินใจให้รอบคอบที่สุด

การเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟในทุกขนาด ทั้งเล็กและใหญ่ อาจฟังดูเป็นเรื่องยากหรือต้องอาศัยคนที่มีความรู้เฉพาะทางช่วยให้ซื้อได้ตรงตามความต้องการที่สุด แต่หากต้องซื้อด้วยตัวเองก็สามาถเลือกซื้อได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เริ่มจากเลือกตามขนาดของกำลังไฟที่ต้องการใช้งาน ดูประเภทของเครื่องปั่นไฟ ประเภทของเชื้อเพลิง ระดับเสียงของเครื่องปั่นไฟ รวมถึงราคาและความคุ้มค่า เพื่อให้การเลือกซื้อเครื่องปั่นไฟตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด แนะนำ Chuphotic ที่มีทีมงานคอยให้คำปรึกษา เครื่องปั่นไฟหลากหลายแบบ และยังมีบริการหลังการขายที่ดี พร้อมซ่อมฟรีภายใต้คุณภาพที่ใครๆ ต่างไว้วางใจ