การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 850 MHz, 1 500 MHz, 2 100 MHz และ 2 300 MHz เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2568 ได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นก้าวสำคัญในการพลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย โดยสร้างประโยชน์ 4 ประการเพื่อส่วนรวม
ประการแรก การประมูลครั้งนี้สร้างรายได้เข้ารัฐรวมกว่า 41,062 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าราคาขั้นต่ำถึงร้อยละ 15 ซึ่งช่วยลดภาระการกู้ยืมของรัฐบาลได้กว่า 30,000 ล้านบาท และนำเม็ดเงินไปลงทุนในกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE Fund) เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในโรงพยาบาลรัฐ โรงเรียนชนบท และศูนย์เทคโนโลยีชุมชน
ประการที่สอง แนวทางการจัดประมูลล่วงหน้า ก่อนสิ้นสุดสัมปทานเดิมในเดือนสิงหาคม ช่วยรับประกันความต่อเนื่องของบริการ ลดความเสี่ยงเหตุการณ์ “ซิมดับ” ที่อาจกระทบผู้ใช้รายย่อยหลายแสนเลขหมาย โดยเฉพาะผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งลดความเสี่ยงจากปริมาณแบนด์วิธที่จะไม่เพียงพอรองรับการใช้งานดาต้าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประการที่สาม กสทช. กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ชนะการประมูลต้องขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุมทุกตำบลภายใน 24 เดือน นับจากวันออกสัมปทาน เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างเท่าเทียม และรองรับการพัฒนานวัตกรรมระดับท้องถิ่น เช่น Smart Farming, Telemedicine และแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์
ประการสุดท้าย ข้อมูลจาก International Telecommunication Union (ITU) ชี้ว่า ประเทศที่กระจายเครือข่าย 5G ครอบคลุมชนบทอย่างทั่วถึง สามารถลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างเมืองและชนบทได้มากกว่า 20% ภายใน 5 ปี ขณะที่การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพและงานวิจัยนวัตกรรม เพิ่มโอกาสสร้างงานและเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับพื้นที่
การประมูลคลื่นความถี่เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนจึงมิใช่เพียงการจัดสรรความถี่ให้แก่ผู้ให้บริการโทรคมนาคม แต่เป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน สร้างรายได้ให้รัฐ รับประกันบริการต่อเนื่อง ขยายโอกาสสู่ทุกตำบล และลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลอย่างแท้จริง อันเป็นผลงานที่ กสทช. ควรได้รับการชื่นชมในฐานะองค์กรกำกับดูแลที่มองการณ์ไกลเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ