ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ลุกลามในหลายรูปแบบ สร้างความเสียหายทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ จากสถิติย้อนหลังตลอด 3 ปี พบว่ามูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์สูงกว่า 89,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาท ตัวเลขนี้ตอกย้ำถึงช่องโหว่สำคัญของระบบดิจิทัลไทยที่ต้องเร่งอุดโดยด่วน
โดยในระดับนโยบาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่ารัฐบาลมองปัญหาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นภารกิจเร่งด่วน โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่กลายเป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และเริ่มลุกลามเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ
นายภูมิธรรม ระบุว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ “Seal Stop Safe” เพื่อป้องกัน ปราบปราม และยับยั้งภัยไซเบอร์ในทุกมิติ ตั้งแต่การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมบัญชีม้าและซิมม้า การเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดกั้นตามแนวชายแดน ไปจนถึงการสร้างกลไกบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เช่น กสทช., ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง. และกระทรวง ดิจิทัลฯ
นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่าการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ เป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
สำหรับในเชิงปฏิบัติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ยืนยันว่า หน่วยงานเร่งพัฒนากลไกเชิงรุกในการรับมือกับภัยไซเบอร์ โดยจัดตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) ที่มีภารกิจหลักในการรวบรวม วิเคราะห์ และปฏิบัติการต่อกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ผ่านการใช้เทคโนโลยี AI และระบบติดตามธุรกรรมการเงิน
ด้าน AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลรายใหญ่ มองว่าบทบาทของตนไม่เพียงแค่ดูแลโครงข่ายการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นกลไกสำคัญในการสร้าง “ภูมิคุ้มกันไซเบอร์” ให้แก่ผู้ใช้งานทุกกลุ่ม
โดยนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้กลายเป็นภัยระดับชาติที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความปลอดภัยของประชาชนและความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัลของประเทศ โดยลักษณะการหลอกลวงมีความซับซ้อนสูง จนแม้แต่บุคคลที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีก็ยังตกเป็นเหยื่อได้
AIS ให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยไซเบอร์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านเทคโนโลยี ความร่วมมือกับภาครัฐ และการให้ความรู้แก่ประชาชน โดยล่าสุดได้ประกาศสนับสนุน “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์” อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้าด้วย 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ “เรียนรู้-ร่วมแรง-เร่งมือ”
ด้านการเรียนรู้ บริษัทได้ดำเนินโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” ตั้งแต่ปี 2019 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้กับประชาชน ผ่านหลักสูตรอบรมที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมอบรมแล้วกว่า 500,000 คน และตั้งเป้าขยายสู่ 3 ล้านคนในระยะต่อไป
ในมิติของความร่วมมือ AIS ได้ประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยงานด้านความมั่นคง และองค์กรกำกับดูแล อาทิ กสทช. และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด รวมถึงการป้องกันการใช้ซิมผิดกฎหมาย โดยกำหนดให้ผู้ซื้อซิมต้องแสดงตนชัดเจนและผ่านระบบพิสูจน์ตัวตนอย่างเข้มงวด
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้พัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุน เช่น ระบบ “Secure Net” สำหรับป้องกันภัยออนไลน์ และสายด่วน 1185 ให้ประชาชนแจ้งเบอร์ต้องสงสัยเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงจากกลุ่มมิจฉาชีพ ตลอดจนพัฒนาหลักสูตร “อุ่นใจไซเบอร์” เพื่อให้ความรู้และทักษะพื้นฐานแก่ประชาชนในการตรวจสอบและป้องกันภัยออนไลน์
นายสมชัยระบุว่า ปัญหาภัยไซเบอร์ไม่อาจจัดการได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเท่านั้น จึงจำเป็นต้องผนึกความร่วมมือทุกภาคส่วน ตั้งแต่การสร้างความรู้ การประสานพลัง และการผลักดันให้เกิดการลงมือปฏิบัติจริง โดยหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างสังคมดิจิทัลที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับคนไทยทุกคน
ขณะเดียวกัน ในด้านนโยบายเทคโนโลยี ประเทศไทยกำลังพิจารณาการพัฒนาเครื่องมือกลางในการบริหารความเสี่ยงไซเบอร์ เช่น ระบบวิเคราะห์ภัยล่วงหน้า ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลความเสี่ยง และดัชนีวัดสุขภาวะดิจิทัล เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการกำกับดูแลของรัฐให้ทันต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว