สกมช. แถลงผลสำเร็จพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

02 พ.ค. 2568 | 11:46 น.
อัปเดตล่าสุด :02 พ.ค. 2568 | 11:46 น.

เลขาฯ สกมช. เผยไทยมีผู้สอบผ่านใบประกาศ CISSP เพิ่ม 12% ก้าวต่อไปต่อยอดความสำเร็จ ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ รับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์

วันนี้ 2 พฤษภาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน รวมถึงภาคธุรกิจ และภาครัฐ โครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระยะที่ 2 จึงมีบทบาทสำคัญ ในการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรทุกระดับ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน จนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกคนมีความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ ภายใต้นโยบาย “The Growth Engine of Thailand” กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงการสร้างบุคลากรที่มีขีดความสามารถ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศได้อย่างยั่งยืน

 

นายประเสริฐ กล่าวว่าแนวทางการสร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล จะต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านแผนงานการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์โดยเร่งด่วน โดยจะประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบและจับกุมผู้เปิดบัญชีแทน / บัญชีม้าในประเทศไทย เว็บพนันออนไลน์ รวมถึงมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์

 

ด้าน พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ  หรือ กสมช. กล่าวรายงานผลการดำเนินโครงการเร่งรัดการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ว่าดำเนินการโดยสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (Thailand National Cyber Academy-THNCA) ภายใต้การดูแลของ สกมช. และได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ซึ่งนับว่าเป็นโครงการสำคัญอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกวงการ ส่งผลให้การเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นเรื่องเร่งด่วน ที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญ

โครงการนี้มุ่งยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรด้านเทคนิค ไปจนถึงระดับผู้บริหารของหน่วยงาน โดยจัดอบรมหลักสูตรที่ครอบคลุมทุกระดับ ได้แก่ หลักสูตรพื้นฐานและหลักสูตรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้บุคลากรมีรากฐานด้าน Cybersecurity หลักสูตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เน้นทักษะเฉพาะทาง คือ การวิเคราะห์ภัยคุกคามไซเบอร์, การทดสอบเจาะระบบ, ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องของระบบควบคุมอุตสาหกรรม (OT Security), การเจาะระบบอย่างมีจริยธรรม, การตรวจพิสูจน์หลักฐานดิจิทัล และความปลอดภัยระบบสารสนเทศระดับสูง เพื่อให้ผู้บริหารเข้าใจแนวทางการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงทางไซเบอร์

 

พลอากาศตรี อมร กล่าวว่าผลสำเร็จของโครงการฯ ในระยะที่ 2 ประสบความสำเร็จเกินจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้อย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการฯ เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านความมั่นคงไซเบอร์ ทั้งรูปแบบห้องเรียนปกติ (On-site) และรูปแบบออนไลน์ (e-learning) จำนวนมากกว่า 13,000 คน จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 6,650 คน โดยมีทั้งกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ บุคลากรในสังกัดหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (CII) หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และกลุ่มเป้าหมายรอง คือ ประชาชนทั่วไปทุกกลุ่มทุกช่วงวัยที่ต้องการพัฒนาความรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในโลกดิจิทัล

"จากผลการดำเนินงานโครงการฯ ในระยะที่ 2 นี้ ส่งผลให้จากเดิมที่ประเทศไทยมีผู้สอบผ่านใบประกาศนียบัตร CISSP เพียง 385 คน ปัจจุบันมีผู้สอบผ่านใบประกาศนียบัตร CISSP จำนวนทั้งหมด 431 เพิ่มขึ้น 46 คน หรือ 12% หมายความว่าปัจจุบันในประเทศไทยของเรามี CISSP ทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 431 คนแล้ว จำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ สะท้อนถึงคุณภาพของการฝึกอบรมที่มีมาตรฐานสูง และสามารถยกระดับศักยภาพของบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม" พลอากาศตรี อมร กล่าว และว่านอกจากนี้ยังส่งเสริมการสอบใบประกาศนียบัตร และใบรับรองความเชี่ยวชาญไซเบอร์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อให้บุคลากรสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ปฏิบัติงานได้อย่างมีมาตรฐาน

พลอากาศตรี อมร กล่าวอีกว่าความสำเร็จสำคัญอีกประการหนึ่ง คือการเปิดตัวสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (THNCA) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านการเรียนรู้และวิจัย เพื่อเสริมสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ที่สามารถแข่งขันในระดับสากล และปฏิเสธไม่ได้ว่าผลความสำเร็จของโครงการนี้ คือหนึ่งบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสถาบันวิชาการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติได้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี.