ศาลอาญาทุจริตฯ ยกฟ้อง 4 กสทช. คดีตรวจทุจริตลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022

08 เม.ย. 2568 | 04:21 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 04:27 น.

สรุปคำพิพากษา "ศาลอาญาทุจริตฯ" พิพากษายกฟ้อง 5 จำเลย กรณีตรวจสอบซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก 2022 และเปลี่ยนรักษาการเลขาฯ กสทช. ชี้ทำตามอำนาจหน้าที่ แม้ผู้พิพากษาบางท่านเห็นแย้ง

วันนี้ (8 เมษายน 2568) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง 4 กรรมการ กสทช. และรองเลขาธิการ กสทช. รวม 5 คน ในคดีหมายเลขดำ อท.155/2566 ที่ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย และการเปลี่ยนผู้รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.

 

จำเลยในคดีประกอบด้วย พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, ศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต, รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย, รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นกรรมการ กสทช. และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการ กสทช. โดยโจทก์คือ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการและรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช.

คดีนี้เริ่มต้นจากการที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 จากกรณีที่โจทก์อ้างว่าจำเลยได้ร่วมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2022 และดำเนินการให้มีการเปลี่ยนรักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์โดยมิชอบ

 

ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการ กสทช. มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ ตามมาตรา 27 มีหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่มีคุณภาพและเป็นธรรม และมาตรา 20 มีหน้าที่อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย พิจารณาให้ความเห็นชอบจัดสรรงบประมาณและอนุมัติโดยคำสั่งตาม พ.ร.บ.นี้หรือตามที่รับมอบหมาย

การที่จำเลยทั้ง 4 มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่ระเบียบ กสทช. กำหนดไว้ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวได้มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบและละเอียด มีการจัดการประชุมรวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง ภายในระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถึง 28 เมษายน 2566

 

ศาลเห็นว่าจากพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งหมดไม่ได้มีข้อพิรุธแต่ประการใด การตรวจสอบข้อเท็จจริงมีรายละเอียดชัดเจน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ในฐานะเลขาธิการ กสทช. อาจมีการฝ่าฝืนข้อปฏิบัติของพนักงานรัฐและผิดวินัย การที่จำเลยที่ 1-4 มีมติเห็นชอบผลการสอบสวนวินัยแก่โจทก์ก็เป็นการเสนอตามระเบียบวาระการประชุมที่ชอบด้วย พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติปี 2553 ประกอบระเบียบฯ เรื่องวาระการประชุม

 

ส่วนการแต่งตั้งจำเลยที่ 5 มารักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แทนโจทก์นั้น ศาลเห็นว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเป็นการพิจารณาตามวาระการประชุมที่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 5 ก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบและวาระที่ประชุมที่ได้มีมติไว้

 

ศาลจึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 5 กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 การกระทำของจำเลยทั้ง 5 เป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษายกฟ้อง

 

อย่างไรก็ตาม คดีนี้มีผู้พิพากษาในองค์คณะได้ทำความเห็นแย้งแนบท้ายคำพิพากษา ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลย โดยระบุว่าการทำหน้าที่ของจำเลยที่ 1-4 ไม่โปร่งใส มีความจงใจให้โจทก์ออกจากตำแหน่ง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงและเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยต่อการทำหน้าที่ การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

 

ส่วนจำเลยที่ 5 ก็กระทำความผิดในการเร่งรัดขั้นตอนในการเข้ามารับหน้าที่รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. แต่ภายหลังมีคำสั่งยกเลิกการสอบสวนโจทก์ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ไม่เลวร้าย จึงเห็นว่าจำเลยทั้ง 5 สมควรได้รับโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 100,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี เนื่องจากเห็นว่าการลงโทษจำเลยทั้ง 5 ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีประโยชน์แล้ว

 

ภายหลังอ่านคำพิพากษา ศาลได้อธิบายเรื่องความเห็นแย้งว่า เนื่องจากคดีนี้มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษาที่พิจารณาในสำนวนซึ่งเป็นผลร้ายต่อจำเลย โดยองค์คณะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ จึงให้ทำคำพิพากษาแนบท้ายไว้เพื่อศาลสูงพิจารณาต่อไป