ฮับบาแนะนำ 7 ทางเลือกที่จะช่วยองค์กรปรับตัวในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
1. Hackathon
Hackathon เป็นงานที่เปิดโอกาสให้เหล่าสตาร์ทอัพ มารวมตัวกัน จัดตั้งทีม และเข้าร่วมโครงการที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 - 3 วัน ขึ้นอยู่กับผู้จัด องค์กรสามารถหาช่องทางในการเข้าไปมีส่วนร่วมใน startup ecosystem เพื่อดึงสตาร์ทอัพ ในหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น นักพัฒนา (Developer) นักออกแบบ (Designer) นักการตลาด (Marketing) หรือ นักวางแผนกลยุทธ์ (Strategist) มาเข้าร่วมในโครงการภายใต้โจทย์หรือหัวข้อที่องค์กรเป็นผู้กำหนดขึ้น เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ระดมความคิดหาวิธีการแก้ปัญหานั้น ๆ สร้างเป็นแผนธุรกิจ และพัฒนาโมเดลธุรกิจต้นแบบขึ้น เพื่อทดสอบสมมุติฐานที่แต่ละทีมตั้งขึ้นว่าใช้งานได้และสามารถนำไปพัฒนาเป็นธุรกิจได้จริง จากนั้นในตอนท้ายของโครงการแต่ละทีมจะนำไอเดียธุรกิจมานำเสนอแก่คณะกรรมการ
2.Corporate/Startup Accelerator Program
โครงการ Accelerator เป็นการนำเอาจุดแข็งของ corporate และ startup มาใช้ในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด corporate มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีทรัพยากรที่พร้อมในหลายด้าน เป็นที่รู้จักในตลาด มีความน่าเชื่อถือ มีฐานลูกค้า มีคอนเนคชั่นที่กว้างขวาง และยังมีช่องทางในการกระจายสินค้าและบริการ ส่วน startup มีรูปแบบการทำงานที่รวดเร็ว ไม่มีโครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อน จึงดำเนินงานได้รวดเร็วกว่าการทำงานแบบ corporate ที่ต้องผ่านการพูดคุยและยินยอมหลายฝ่าย จุดแข็งของ corporate จะสามารถช่วยเร่งการเติบโตของ startup ได้ ส่วน corporate เองก็ได้โอกาสในการลงทุน
3.Corporate Venture Capital
ทางเลือกนี้คือการที่องค์กรจัดตั้งหน่วยงานหรือแผนก Corporate Venture Capital (CVC) ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อสรรหาการลงทุนในธุรกิจที่น่าสนใจในตลาด และเพื่อขยายช่องทางกาลงทุนหรือให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจอื่นๆ ที่กำลังมาแรงในตลาด องค์กรอาจจะจัดการการลงทุนในรูปแบบกองทุนที่องค์กรจัดตั้งขึ้นมาเอง หรือจะเลือกไปลงทุนกับกองทุนสำหรับสนับสนุนธุรกิจ สตาร์ทอัพ ที่มีอยู่แล้วก็ได้
4. Venture Building Program
Venture Building Program คือการที่องค์กรจัดทำโครงการสำหรับการค้นหาไอเดียในการสร้างธุรกิจใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องมีการคัดเลือก สตาร์ทอัพ ที่มีแนวคิดน่าสนใจข้ามาในโครงการ และให้พวกเขาคิดหาแนวทางแก้ไขโจทย์ทางธุรกิจที่องค์กรได้วิเคราะห์มาว่ากลุ่มเป้าหมายที่สนใจกำลังเผชิญอยู่เสนอแก่องค์กร เพื่อนำไอเดียเหล่านั้นมาพัฒนาต่อยอดให้เกิดเป็นสินค้าหรือบริการใหม่
5.Sponsorship
อีกหนึ่งทางเลือกสุดเบสิคในการเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของ สตาร์ทอัพ คือการเข้าไปให้การสนับสนุน (sponsor) งานอีเว้นต์ต่างๆ หรือให้การสนับสนุนในรูปแบบของพื้นที่ที่ให้ สตาร์ทอัพ เข้ามาใช้งาน (working space) วิธีนี้เป็นช่องทางที่จะทำให้องค์กรเข้าไปใกล้ชิดกับเหล่า สตาร์ทอัพ และบุคคลที่อยู่ใน ecosystem นี้ แต่การจะลงมือทำจริงก็ไม่ได้ง่ายอย่างปากว่า เพราะไม่ใช่แค่ซื้อตั๋ว หรือหาพื้นที่ว่างๆ เอาโต๊ะเอาเก้าอี้มาตั้ง แล้วคุณจะได้ใบเบิกทางจากเหล่า สตาร์ทอัพ สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ ไม่ใช่การสนับสนุนในรูปแบบเหล่านี้ หรือไม่ใช่แม้กระทั่ง การจัดหาทีมกฏหมาย การทำบัญชี หรือการคำนวนภาษีให้ นอกจากการให้พื้นที่แก่พวกเขาในการทำงานหรือจัดงานกิจกรรมต่างๆ พวกเขาต้องการข้อมูลทางการตลาดว่าสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายคืออะไร เพื่อจะนำไปพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้
6. Become a Customer
ช่องทางที่ง่ายที่สุดและดีที่สุดในการให้การสนับสนุนธุรกิจที่กำลังมาแรงคือการเข้าไปเป็นลูกค้าพวกเขาซะเลย ในช่วงที่ธุรกิจเหล่านั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นก็เข้าไปติดต่อสานสัมพันธ์ไว้ เพื่อสร้างโอกาสในการทำความร่วมมือทางธุรกิจในอนาคต
7. Ecosystem Expedition
หากตัวเลือกที่กล่าวไปข้างต้นยังฟังดูเป็นทางเลือกที่ยังไม่ปลอดภัยสำหรับองค์กรคุณหรือคุณยังรู้สึกไม่พร้อมที่จะลงมือทำโครงการเหล่านี้ ฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องออกเดินทางไปท่องโลกของเหล่า startup! นักธุรกิจหลายท่านตัดสินใจจัด business trip แพ็คกระเป๋าบินตรงเพื่อไปพูดคุย หาไอเดียจากเหล่านักธุรกิจ สตาร์ทอัพ ที่มีประสบการณ์จากทั่วโลก เพื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราวความสำเร็จ และความล้มเหลวจากพวกเขา การออกไปเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเองว่าเรายังไม่รู้อะไรอีกบ้าง จะช่วยสร้างความมั่นใจ และช่วยให้เห็นภาพแนวทางในการปรับตัวขององค์กรที่ชัดเจนมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นการตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลง การเลือกที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจในเหตุและผลของมัน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะพาองค์กรไปสู่ทางรอดในวิกฤตต่างๆ ที่เข้ามาได้ สิ่งจำเป็นที่ควรจะมีคือการบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลงให้เกิดประสิทธิผล