นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการ บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากต่อเอปสัน ประเทศไทย เช่นเดียวกับอีกหลายบริษัทไอทีในตลาด เพราะต้องปรับกลยุทธ์รับมือกับสภาพตลาดไอทีในประเทศโดยรวมที่หดตัวลง 5.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจชะลอตัว เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาทั้งในประเทศและต่างประเทศ บวกกับงบประมาณรายจ่ายรัฐบาลไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามกำหนด ทำให้ส่งผลกระทบต่อโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ แผนการลงทุนและจัดซื้อจัดจ้าง รวมไปถึงแผน การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนอีกด้วย ทั้งองค์กรรัฐและเอกชนจึงมีการลงทุนในสินค้ากลุ่มไอทีลดลง ส่วนภาวะการระบาดโควิด-19 นั้น ถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ โดยตรง แต่อาจทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงและส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในภาคธุรกิจโดยรวม”
“จากสถานการณ์ดังกล่าว เอปสัน ประเทศไทย คาดการณ์ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์พรินเตอร์ทั้งหมดของบริษัทฯ จะปรับตัวลดลง 6% เมื่อเทียบกับปี 2561 แต่ยังคงสามารถยืนตำแหน่งผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ B2B ของไทยได้ทั้งในเชิงมูลค่าและจำนวนยูนิต ด้วยสัดส่วนการตลาด 38% และ 44% โดยช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับกลวิธีในการจำหน่าย โดยเพิ่มความสำคัญกับช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อเข้าถึงองค์กรเอสเอ็มอีทั่วประเทศได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังโฟกัสในตลาด replacement โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนจากเลเซอร์พรินเตอร์และพรินเตอร์ที่ใช้ตลับหมึกมาใช้อิงค์แท็งค์พรินเตอร์ เพื่อประหยัดต้นทุนการพิมพ์และค่าไฟ รวมถึงลูกค้าที่ต้องการเพิ่มจำนวนพรินเตอร์เอปสันในองค์กรเป็นหลัก”
นายยรรยง กล่าวต่อว่า “สำหรับยอดขายของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ประเภทต่างๆ ของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา อิงค์เจ็ท พรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กรธุรกิจ Epson WorkForce คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้เติบโตมากที่สุด เพิ่มขึ้น 79% เนื่องจากสามารถเข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาดจากกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสาร รองลงมาคือกลุ่มพรินเตอร์ เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% ได้แก่ พรินเตอร์ฉลากอุตสาหกรรม พรินเตอร์หน้ากว้างใช้ภายในองค์กร พรินเตอร์เพื่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ และพรินเตอร์ป้ายโฆษณา ในส่วนกลุ่ม Epson EcoTank อิงค์เจ็ทพรินเตอร์รุ่นประหยัดเพื่อองค์กรธุรกิจทุกขนาด และกลุ่มดอทเมทริกซ์พรินเตอร์ คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดขาย ณ สิ้นปีงบประมาณนี้ ได้ไม่ต่างจากปีงบประมาณก่อนหน้านั้น”
นายยรรยง กล่าวถึงกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ ว่า “เอปสัน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 30 ของการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทยในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ มีเป้าหมายในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดพรินเตอร์ของประเทศไทย ผ่านกลยุทธ์ ‘Double LEAD’ ซึ่งประกอบด้วย LEAD ที่ 1 คือการนำเสนอคุณค่า (Value Proposition) 4 ประการ ที่สามารถแก้ไขเพนพอยต์และตอบโจทย์ความต้องการด้านการพิมพ์งานภายในองค์กรธุรกิจต่างๆ ได้แก่ Low Total Cost of Ownership, Eco-friendly environment, Advanced performance และ Digital transformation ส่วน LEAD ที่ 2 คือกลยุทธ์การดำเนินงาน ผ่าน 4 กระบวนการเพื่อถ่ายทอดคุณค่าที่ได้กล่าวมาไปสู่ธุรกิจของลูกค้า ได้แก่ Launch, Educate, Assist และ Drive”
“ปัจจุบัน 3 ใน 4 ของเอสเอ็มอีทั่วภูมิภาคอาเซียนได้นำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเพื่อสอดรับกับกระแสดังกล่าว เอปสันจึงมีอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ประสิทธิภาพสูงออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนกระบวนการ Digital Transformation ทางธุรกิจ หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้นำพรินเตอร์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของเอปสันไปใช้เสริมในกระบวนการผลิตมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมแฟชั่นและสิ่งทอ ซึ่ง Epson SureColor F-Series ได้ถูกนำเข้าไปใช้ในโรงงานเพื่อเพิ่มไลน์การพิมพ์แบบ print-on-demand รองรับการผลิตสินค้าตามดีไซน์และออร์เดอร์ของลูกค้าในจำนวนจำกัด จึงช่วยลดปริมาณสินค้าในสต็อกและลดค่าใช้จ่ายและปริมาณของเสียจาการผลิตลงได้ อีกทั้งยังเป็นที่นิยมของดีไซเนอร์ เพราะสามารถช่วยสร้างสรรค์ผลงานแฟชั่นในรูปแบบเฉพาะตัว มาตอบรับกระแสนิยมในตลาดขณะนั้น ได้ในราคาต้นทุนที่ต่ำลง”
นายยรรยง กล่าวเสริมว่า “สำหรับกลยุทธ์ LEAD เพื่อนำเสนอคุณค่าทั้ง 4 ด้านให้แก่ลูกค้าองค์กรธุรกิจของบริษัทฯ ประกอบด้วย Launch หรือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมการพิมพ์ทุกประเภทงาน ในองค์กรและทุกธุรกิจการพิมพ์ โดยผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่ายและอีคอมเมิร์ซ ต่อมาคือ Educate หรือการให้ความรู้แก่ลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงคุณค่าในด้านต่างๆ ที่เอปสันสามารถมอบให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความมั่นใจและความคุ้นเคยในเทคโนโลยีของเอปสัน รวมถึงการให้ความรู้ เพื่อเพิ่มความชำนาญแก่ทีมงานของตัวแทนจำหน่ายในการดูแลและซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของเอปสัน”
“Assist หรือการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ทั้งในด้านการติดตั้งและการบำรุงรักษา รวมไปถึงการให้คำแนะนำในการขยายแพลทฟอร์มการพิมพ์ภายในองค์กร ผ่านการใช้งานแบบเช่าเครื่องและคิดค่าบริการแบบรายแผ่น ภายใต้ชื่อ Epson EasyCare 360 สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้เครื่องพิมพ์ Epson WorkForce และบริการเหมาจ่ายแบบรายเดือนภายใต้ชื่อ Epson EasyCare Mono สำหรับกลุ่มลูกค้า Epson EcoTank M-series ที่สามารถเช่าเครื่องพร้อมหมึกแบบเหมาจ่ายรายเดือน และสุดท้ายคือ Drive หรือการกระตุ้นลูกค้าเดิมและลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เกิดความสนใจในการลงทุนกับเอปสันในอนาคต ผ่านโปรโมชั่นและกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ”
“ในปี 2563 นี้ จะเป็นปีของการครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งเอปสัน ประเทศไทย ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ B2B ของประเทศไทยให้ได้ไว้อีกครั้ง พร้อมกับขยายฐานลูกค้าให้กว้างออกไปสู่กลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่ๆ ผ่านกลยุทธ์และคุณค่าของเอปสันที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของลูกค้าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะกลับมาสู่ภาวะปกติในไม่ช้า รวมถึงการอนุมัติการเบิกจ่ายของงบประมาณรัฐบาล ซึ่งจะทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจกลับมาทำงานอีกครั้ง การลงทุนในเทคโนโลยีด้านต่างๆ ขององค์กรธุรกิจก็จะเพิ่มมากขึ้น ตลาดไอทีก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง