จากความตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนไทยให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคได้ง่ายขึ้น ทำให้ นพ.อดุลย์ชัย ธรรมาแสงเสริฐ กรรมการสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย ได้ร่วมมือกับแพทย์เฉพาะทางศิริราช ก่อตั้งแฟนเพจเฟซบุ๊ก ภายใต้ชื่อ “แพทย์เฉพาะทางบาทเดียว” เพื่อให้คำปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพและการตรวจคัดกรองโรคเบื้องต้น ซึ่งได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลของการให้บริการดังกล่าว นำไปสู่การพัฒนาเป็นแอพพลิเคชัน “Diagme” แอพตรวจคัดกรองและประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรค จากอาการผิดปกติของคนไข้ด้วยการสร้างอัลกอริทึมรูปแบบคำถามที่แพทย์นิยมใช้ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นให้กับผู้ป่วย
นพ.อดุลย์ชัย กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “แพทย์เฉพาะทางบาทเดียว” เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2557 เป็นเพจสำหรับตอบคำถามด้านสุขภาพออนไลน์ให้กับคนไข้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ช่วงแรกที่ทำมีแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนแพทย์ศิริราชมาด้วยกัน เข้ามาร่วมตอบคำถามกว่า 30 ราย ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ อาทิ ศัลยกรรม, อายุรกรรม, ผิวหนัง แต่จากปัญหาในเรื่องของเวลา และพฤติกรรมของคนที่เข้ามาขอคำปรึกษา ที่มีทั้งคนไข้ที่กวน หรือต้องการคำตอบแบบทันที ทำให้แพทย์บางส่วนรู้สึกไม่อยากตอบคำถามและเลิกราไป ทำให้เห็นว่ามนุษย์มีเรื่องของจิตใจเข้ามาเกี่ยว
ทั้งนี้จากการเก็บข้อมูลคำถามที่ใช้ในการถามคนไข้ช่วงระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา มีคำถามเกิดขึ้นประมาณ 4-5 แสนคำถาม จึงได้มีความคิดที่จะหาเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่เป็น อัลกอริธึม มาใช้แทนการซักประวัติคนไข้เช่นเดียวกับการไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยนำคำถามเหล่านั้นมาสร้างเป็นอัล กอริธึม จึงเกิดเป็นแอพพลิเคชัน
ไดแอกมี (Diagme) ที่เปิดให้บริการไปเมื่อเดือนกันยายน 2560”
สำหรับการคัดกรองโรคเบื้องต้นของไดแอกมี นั้นมีข้อดีกว่าการที่คนไข้ไปค้นหาอาการของโรคบนกูเกิล เนื่องจากส่วนใหญ่ข้อมูลที่ได้ไม่ตรง กับโรคที่เป็น ทำให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ไดแอกมีนั้นหมอได้มีการคัดกรองโรคมาแล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามจากหมอผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการซักประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล โดยมีความแม่นยำในการวินิจฉัยเบื้องต้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70-80% ทั้งนี้ในการวินิจฉัยโรคของแพทย์ การซักประวัติเบื้องต้นจะทำให้แพทย์มีโรคในใจ (Differentiated Diagnosis) ประมาณ 3-4 โรค หลังจากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายและตามด้วยการวินิจฉัยในห้องปฏิบัติการ สิ่งที่ ไดแอกมี ทำ คือ การคัดกรองโรคเบื้องต้นแทนแพทย์ โดยแอพจะแสดงผลของโรคที่คนไข้น่าจะเป็น 3 อันดับแรก ซึ่งคนไข้สามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดของโรคและอาการที่กำลังเป็นอยู่ได้ว่าตรงกับโรคใดมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการระบุตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดของคนไข้อีกด้วย
“หลังจากที่ทำแอพพลิเคชันในเวอร์ชันแรกไปแล้ว และได้มีการศึกษาข้อมูลจากคนที่เข้ามาใช้แอพ จึงเห็นว่าถ้าจะก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จะต้องให้คนที่ทำงานด้านนี้หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์นำไปใช้ เพื่อแก้ปัญหาการกระจุกตัวของคนไข้ในโรงพยาบาล ด้วยการเริ่มรักษาตั้งแต่ในระดับหมู่บ้าน ลดจำนวนคนไข้ที่ต้องเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งต้องเสียเวลาในการเดินทางและรอคิวเพื่อรับการรักษา ด้วยการให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ใช้ไดแอกมีในการตรวจคัดกรองโรคเบื้องต้นให้กับคนในชุมชน หากมีคนไข้ที่อาการหนัก ค่อยส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลระดับตำบล หรืออำเภอต่อไป”
ก่อนหน้านี้โครงการแพทย์เฉพาะทางบาทเดียวเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยได้มอบงบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์รอบแรกประมาณ 4 แสนบาท หลังจากที่ได้แนะนำแอพพลิเคชัน ไดแอกมีให้กลุ่ม อสม.ในจังหวัดนนทบุรีทดลองใช้ พบว่า อสม. หลายคนมีอายุเกินกว่า 50 ปี และยังไม่มีบัญชีอี-เมล์หรือเฟซบุ๊ก รวมถึงรูปแบบของแอพพลิเคชันยังมีความซับซ้อนจากภาวะอาการที่มีมากเกินไปทำให้หาอาการที่จะระบุไม่พบเกิดเป็นอุปสรรคตามมา จึงได้มีการพัฒนาแอพพลิเคชันให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถลงทะเบียนได้จากบัญชี LINE และปรับรูปแบบในการค้นหาอาการจากตัวอักษรเป็นรูปภาพการ์ตูน แบ่งตามอวัยวะต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกประวัติของคนไข้แต่ละรายที่ อสม.ตรวจ รวมถึงมีการแจ้งเตือนไปเพื่อให้ติดตามอาการของคนไข้ว่ามีอาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร สำหรับเวอร์ชันใหม่นี้ทาง ไดแอกมี ได้รับเงินสนับสนุนในการพัฒนาจาก สสส. อีกประมาณ 2 ล้านบาท
ปัจจุบันไดแอกมี มียอดดาวน์โหลดอยู่ที่ประมาณ 14,000 ดาวน์โหลด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการปรับเปลี่ยนชื่อแอพพลิเคชัน จาก “ไดแอกมี” เป็น “ใกล้มือหมอ” เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มชาวบ้านได้มากขึ้น คาดว่าในปลายปีนี้จะเริ่มมีการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าว ไปยังกลุ่ม อสม.ในประเทศไทยที่มีจำนวนเกือบ 1 ล้านคน ทั้งนี้หากมีการนำแอพพลิเคชัน ไดแอกมี ไปต่อยอดเพื่อให้ทาง อสม.ใช้งานก็จะช่วยเพิ่มการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เบื้องต้นในช่วงแรกคาดว่าจะมี อสม. ที่เข้ามาใช้งานประมาณ 1 ใน 3 จากทั้งหมด หรือราว 3 แสนคน
หน้า 12 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3497 ระหว่างวันที่ 18 - 21 สิงหาคม 2562