การขายสินค้าออนไลน์ในหลายปีก่อนคงต้องนึกถึงร้านค้าในรูปแบบเว็บไซต์ ที่การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ต้องเริ่มจากการค้นหาผ่านกูเกิล และเข้าไปเลือกซื้อสินค้าตามเว็บไซต์ที่ปรากฏ แต่กระแสของโซเชียลมีเดียและโมบายอินเตอร์เน็ตที่เข้ามานั้นส่งผลให้เว็บไซต์ขายสินค้ามีบทบาทและความสำคัญลดลง “เทพช็อป” จำเป็นต้องจัดองคาพยพใหม่ จากผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป สู่การเป็นผู้ช่วยบริหารจัดการร้านค้าให้กับผู้ประกอบการธุรกิจอี-คอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปแบบ
นายณัฐวิทย์ ผลวัฒนสุข ผู้ร่วมก่อตั้ง LnwShop หรือ เทพช็อป เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าเทพช็อปได้รับผลกระทบจากโซเชียลคอมเมิร์ซ ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพราะผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจแม้ว่าจะมีการใช้ช่องทางโซเชียลในการรุกตลาด แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีเว็บไซต์เพื่อสร้างตัวตนของแบรนด์และความน่าเชื่อถือในการต้อนรับลูกค้าให้กลับมาซื้อซํ้า ซึ่งนี้ในช่วงที่ผ่านมาภาพของเว็บไซต์อาจจะมีบทบาทความสำคัญลดน้อยลง แต่ธุรกิจก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทางและแพลตฟอร์มทั้งหมดร่วมกันในการเข้าถึงลูกค้า ทั้งโซเชียลมีเดีย มาร์เก็ตเพลสและเว็บไซต์ของตนเอง
ทั้งนี้หลังจากเว็บไซต์ไม่ได้มีบทบาทมากเท่ากับในสมัยก่อน เทพช็อปจึงได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้เข้าถึงลูกค้า โดยเน้นไปที่ระบบบริหารจัดการในทุกขั้นตอนของการขายเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ค้า เช่น การขายสินค้าในหลายช่องทาง ตัวช่วยในการบริหารจัดการสต๊อกที่เชื่อมโยงระหว่างกันและอัพเดตพร้อมกันในทุกแพลตฟอร์มผ่านเทพช็อป โดยมีพาร์ตเนอร์ทั้งลาซาด้า, ช้อปปี้, ไพรซ์ซ่า, เทพมอล, หมู่เฮาส์”
“เรามีการเชื่อมต่อ API ในการให้ข้อมูลในทุกแพลตฟอร์มสามารถซิงก์กันได้ เมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามาในเทพช็อปก็จะมีการตัดสต๊อกแบบอัตโนมัติผ่านระบบ ซึ่งจะมีการอัพเดตสต๊อกในทุกแพลตฟอร์ม การปรับเปลี่ยนราคาที่ทำผ่านเทพช็อปช่องทางเดียวก็สามารถอัพเดตได้ในทุกมาร์เก็ตเพลสที่ซิงก์ระหว่างกัน แบบอัตโนมัติ รวมถึงเรื่องระบบการจัดส่งที่ตอนนี้สามารถออกเลขพัสดุได้เองเพื่อแปะที่กล่องพัสดุ และให้พาร์ตเนอร์ด้านโลจิสติกส์ของเทพช็อปที่เชื่อมต่อ API โดยตรงมารับพัสดุที่บ้านเพื่อไปส่งได้เลย”
นอกจากนี้เทพช็อปยังได้มีการผนึกกำลังกับธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้ร้านค้าสามารถยื่นกู้ขอสินเชื่อผ่านระบบเทพช็อป โดยวิเคราะห์ข้อมูลเครดิตจากยอดขายและทรานแซกชันของร้านค้าบนเทพช็อป เพื่อลดขั้นตอนในการยื่นขอสินเชื่อ ที่ไม่ต้องเตรียมเอกสารรายการเดินบัญชีย้อนหลัง โดยเป็นความประสงค์ของร้านค้าที่มีความต้องการกู้เงินเพื่อมาลงทุน ในการทำธุรกิจ ซึ่งบริการนี้จะช่วยให้ร้านค้ามีเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจให้เติบโตได้มากขึ้น ก็จะช่วยทำให้เทพช็อปสามารถเติบโตตามไปด้วย
นายณัฐวิทย์ กล่าวต่อไปว่าการเติบโตปีที่ผ่านมาของเทพช็อปนั้นมีทั้งลดและเพิ่มในเวลาเดียวกัน ร้านค้าที่เปิดมาแล้วไม่สามารถอยู่ได้ก็หายไปพอสมควร ส่วนร้านที่เข้ามาแล้วโตได้ก็มี โดยเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-15% จากปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเทพช็อปมีร้านค้าบนแพลตฟอร์มราว 7 แสนร้าน ซึ่งเป็นร้านค้าที่แอกทีฟอยู่ที่ประมาณ 6-7 หมื่นร้าน ขณะที่ยอดขายรวมจากร้านค้าทั้งหมดในปีที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งตํ่ากว่าคาดการณ์เนื่องจากมีเรื่องของการเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซเข้ามาทำให้ร้านค้าที่ทำยอดขายได้มากเริ่มไม่อยากเก็บข้อมูลในระบบ ซึ่งตรงนี้ส่งผลกระทบต่อตัวเลขยอดขายในระบบของเทพช็อป
“การเก็บภาษีของภาครัฐ สำหรับผมมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะเมื่อขายสินค้าได้ มีรายได้ก็จำเป็นที่จะต้องเสียภาษี แต่อาจเป็นความเข้าใจผิดๆ มาแต่เดิมว่าคนที่ขายของออนไลน์ไม่ต้องเสียภาษี การปรับตัวของคนไทยจึงเป็นเรื่องที่ยาก ตรงนี้จำเป็นที่จะต้องมีการปรับความเข้าใจและให้ความรู้กัน ช่วยให้ความรู้หรือทำเป็นขั้นของการเสียภาษี ช่วงที่ผ่านมาอาจจะยกเว้นไปก่อน จากนั้นจึงค่อยมีการเก็บภาษีเป็นลำดับขั้น หรือบางประเทศเองก็จะมีเรื่องของการยกเว้นในบางหมวดหมู่ ก็ควรเป็นสิ่งที่น่าจะมาคิดกัน แต่ก็ยังไม่อยากให้ถึงกับต้องมีบทลงโทษ อยากเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามาได้ง่ายและทำช่องทางการเสียภาษีอย่างถูกต้อง”
สำหรับปีนี้เทพช็อปตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ประมาณ 20% โดยมีเป้าหมายที่จะให้ร้านค้ารู้จักเทพช็อปมากขึ้น โดยยอดขายคาดว่าจะอยู่ราว 2,500 ล้านบาท สำหรับยอดร้านค้าที่เปิดใหม่อยู่ที่ประมาณเดือนละเกือบ 1 หมื่นร้าน ซึ่งคาดหวังว่าจะสามารถอยู่ต่อไปได้เกิน 2 ปี เพราะปกติร้านค้าที่มาเปิดใหม่ประมาณ 1 ปีก็จะปิดตัวลง โดยจำนวนผู้ขายแอกทีฟควรจะเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อจำนวนร้านค้าทั้งหมดที่มี
โดย : ภาพิมล ธนรุ่งเจริญกิจ
หน้า 11 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3488 ระหว่างวันที่ 18-20 กรกฎาคม 2562