‘อินทัชฯ ’ลงทุนต่อสตาร์ตอัพ ปลื้ม‘วงใน’รายได้ 250 ล้าน

23 ก.พ. 2562 | 04:56 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ก.พ. 2562 | 11:57 น.
เริ่มส่งสัญญาณกันแล้วจะเกิดฟองสบู่กับ “สตาร์ตอัพ” เมื่อบริษัท ตีตี ชูสิงฯ (Didi Chuxing) ผู้ให้บริการเรียกรถยนต์นั่งของจีน เตรียมปรับลดพนักงานลง 15% หรือประมาณ 2,000 ตำแหน่ง

แม้ฟองสบู่ในเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้น แต่สำหรับ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มทุนสื่อสารรายใหญ่ในประเทศ มีความระมัดระวังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพราะนโยบายการลงทุนสตาร์ตอัพ ผ่านโครงการ “อินเว้นท์” ลงทุนไม่เกิน 20%

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา “อินเว้นท์” ได้ลงทุนไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 110 ล้านบาท ผ่าน 3 บริษัทคือ บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง โซลูชัน, บริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ให้บริการระบบบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management-CRM) และ POS Digital Platform สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และ บริษัท อีคาร์ท
สตูดิโอ จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมประยุกต์ทางด้านภูมิศาสตร์ (Enterprise Location-Based Application) ซึ่งเตรียมแถลงการร่วมทุนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้

นอกจากนี้ ได้แลกเงินลงทุนในบริษัทเดิม 2 บริษัท คือ บริษัท อินฟินิตี้ เลเวล สตูดิโอ พีทีอี ลิมิเต็ดฯ และบริษัท ซินโนส จำกัด เป็นบริษัท วีวีอาร์ เอเซีย จำกัด อีกด้วย

สำหรับ “อินเว้นท์” ได้เปิดตัวโครงการเมื่อปี 2555 เป็นการร่วมลงทุนในรูปแบบคอร์ปอเรต เวนเจอร์ แคปิตอล (Corporate Venture Capital) ด้วยการสนับสนุนเงินลงทุนให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย (Small and Medium Enterprises - SMEs) ที่มีศักยภาพในธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม และสื่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก พร้อมรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) ในปี 2558 ขณะเดียวกันยังเป็นการขยายการลงทุนที่จะทำให้กลุ่มอินทัชเติบโตมากขึ้นอีกด้วย

mp10-3446b2

ผ่านไปแล้ว 6 ปี ปรากฏว่า อินเว้นท์ลงทุนในบริษัทร่วมลงทุนที่หลากหลายจำนวน 17 บริษัท ทั้งธุรกิจดิจิทัล ไลฟ์สไตล์ สื่อและโฆษณา ฟินเทค และเฮลธ์เทค ใช้เงินรวม 525 ล้านบาท โดยบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 792 ล้านบาท อินทัช ยังคงนโยบายการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และดิจิทัล ภายใต้งบ 200 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ในปี 2562 ได้ขยายขอบเขตการลงทุนไปยังบริษัทที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Artificial Intelligence (AI) Internet of Things (IoT) Blockchain และ Data analytic เป็นต้น เพื่อรองรับการใช้งาน 5G ในอนาคต รวมทั้งนำนวัตกรรมไปต่อยอดให้กับสินค้า และบริการของบริษัทในเครือ

สำหรับ 6 ปีที่ผ่านมาการลงทุนเริ่มเป็นดอกผลเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะบริษัท วงใน มีเดีย จำกัด หรือ Wongnai เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 10% ในปีที่ผ่านมามีรายได้ 250 ล้านบาท, ปี 2560 อยู่ที่ 150 ล้านบาท, ปี 2559 มีรายได้ 89 ล้านบาท และ ปี 2558 มีรายได้ 50,034,781 บาท

ในด้านผลประกอบการของ “อินทัช” ปี 2561 ที่ผ่านมา ทำกำไรสุทธิ 11,491 ล้านบาท เติบโต 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,673 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ผลกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) (ซีเอสแอล) ที่อยู่ภายใต้ไทยคม ขณะที่กำไรปกติจากการดำเนินงานใกล้เคียงกับปีก่อน จากการรับรู้ผลกำไรจากไทยคมที่สูงขึ้น ทั้งนี้ อินทัชยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้ รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย โดยกำหนดจ่ายปันผลครึ่งปีหลังหุ้นละ 1.17 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2562 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 เมษายน 2562 ทำให้ในปี 2561 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 2.71 บาทต่อหุ้น

ส่วนธุรกิจเรือธงของกลุ่ม คือ เอไอเอส กำไรสุทธิในปี 2561 อยู่ที่ 29,680 ล้านบาท มีผู้ใช้บริการจำนวนทั้งสิ้น 41 ล้านราย ขณะที่ ไทยคม  มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการขายหุ้นในซีเอสแอล เป็นหลัก ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติฟื้นตัวขึ้นในทิศทางเดียวกันมาอยู่ที่ 140 ล้านบาท จากการลดลงของค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลังการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ดาวเทียมในปี 2560 และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

รายงาน โดย ไอที

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3446 ระหว่างวันที่ 21 - 23 กุมภาพันธ์ 2562

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว