เอ็นทีทีฯ เผยรายงานการสำรวจการใช้คลาวด์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พบว่า 44% องค์กรธุรกิจ เดินหน้าลงทุนและติดตั้งระบบไฮบริดคลาวด์ แต่ไม่มีการวางกลยุทธ์ชัดเจน
นายเดฟ สก็อต ผู้อำนวยการฝ่ายโซลูชันจัดการบริการ บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ คอร์ปอเรชั่นฯ (เอ็นทีที คอมมิว นิเคชันส์) เปิดเผยว่าการใช้งานระบบคลาวด์แบบหลากหลายผู้ให้บริการ (Multi-Cloud) ถือเป็นบรรทัดฐานการใช้งานระบบไอทีสำหรับองค์กรทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยจากการสำรวจล่าสุดพบว่า มาก กว่า 90% ขององค์กรธุรกิจมีการ ใช้งานระบบคลาวด์หลากหลายแพลตฟอร์มที่ต้องมีการทำงานร่วมกัน และมากกว่าครึ่งของกลุ่มองค์กรดังกล่าวมีการใช้งาน ระบบไฮบริดคลาวด์แล้ว อย่างไรก็ตาม การสำรวจยังพบว่า องค์กรธุรกิจถึง 44% มีการนำร่องติดตั้งระบบไฮบริดคลาวด์ แต่กลับไม่มีการวางกลยุทธ์หรือแผนการใช้งานระบบไฮบริดคลาวด์ที่ครอบ คลุมและชัดเจน
“ผลการสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนที่น่าตกใจขององค์กรธุรกิจจำนวนมากที่ยังขาดการวางแผนกลยุทธ์ในการใช้ไฮบริดคลาวด์ที่ชัดเจน แม้ว่าองค์กร เหล่านี้จะมองเห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของการใช้งาน ระบบไฮบริดคลาวด์แล้วก็ตาม แต่ยังประเมินและมองเรื่องความซับซ้อนทางเทคนิคตํ่าเกินไป ซึ่งอาจทำให้การปรับตัวเข้าสู่องค์กรรูปแบบใหม่ไม่สามารถไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ หากองค์กรยังไม่มีการวางแผนงานและกลยุทธ์ที่ชัดเจน”
ทั้งนี้ เอ็นทีที คอมมิว นิเคชันส์ ร่วมกับ บริษัท วีเอ็มแวร์ อิงค์ฯ จัดทำรายงานการสำรวจเรื่อง “Going Hybrid: Demand for Cloud and Managed Services Across Asia-Pacific” โดยสำรวจความต้องการใช้งานระบบไฮบริด คลาวด์ใน 6 ประเทศเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 โดยการสำรวจครอบคลุมถึงแนวทางการเลือกใช้เทคโนโลยี การเลือกผู้ให้บริการ การจัดลำดับความสำคัญของบริการ และมาตรการการวางแผนกลยุทธ์การใช้งานไฮบริดคลาวด์และการปฏิบัติตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นายเดฟ สก็อต กล่าวต่อไปอีกว่าองค์กรธุรกิจกำลังตื่นตัวและมองว่าระบบคลาวด์เป็นปัจจัยสำคัญของกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กรยุคใหม่ และไฮบริดคลาวด์ถือเป็นก้าวสำคัญในการปฏิรูปการทำธุรกิจ ซึ่งการสำรวจพบว่าเมื่อมีการใช้งานระบบคลาวด์สาธารณะมากกว่าครึ่งขององค์กรธุรกิจให้ความสำคัญกับการโอนย้ายและเปลี่ยนรูปแบบการทำงานและปริมาณงานภายในเป็นอันดับแรก (cloud first) แต่กระนั้นยังไม่มีแนวทางชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงหรือโอนย้ายไปสู่ระบบคลาวด์อื่น โดย 28% มุ่งเน้นวิธีการยกระดับและปรับเปลี่ยน (lift-and-shift) และอีก 28% เน้นทำการปรับโครงสร้างใหม่ (refactor) ก่อนการโอนย้ายเข้าสู่ระบบใหม่ ขณะที่อีก 44% มุ่งเน้นการใช้งานคลาวด์สาธารณะสำหรับการใช้งานแอพพลิเคชันใหม่ๆ
ในด้านการวางแผนการใช้งานแบบไฮบริด ธุรกิจต่างๆ ยังมีรูปแบบการวางแผนในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า ปริมาณงานทางด้านลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) การขายและการตลาด งานด้านฐานข้อมูลและคลังข้อมูล และงานด้านการเก็บข้อมูล จะเป็นปริมาณงานหลักที่จะโอนย้ายเข้าสู่ระบบไฮบริดคลาวด์ โดยมีสัดส่วนปริมาณงานที่จะเข้าสู่ระบบไฮบริดคลาวด์ โดยงานทางด้านลูกค้าสัมพันธ์ การขายและการตลาดเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 49% สำหรับงานด้านฐานข้อมูลและคลังข้อมูลเพิ่มขึ้นจาก 28% เป็น 48% ในขณะเดียวกันงานด้านการเก็บข้อมูลเพิ่มจาก 28% เป็น 47% ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นขององค์กรธุรกิจในการใช้ระบบไฮบริดคลาวด์เพื่อรองรับการใช้งานแอพพลิเคชันและตอบสนองความต้องการทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ
หน้า 11 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,437 ระหว่างวันที่ 20-23 มกราคม 2562