"กฟผ." รุก "ไฟฟ้าสีเขียว" เพิ่มโซลาร์เซลล์ลอยน้ำมุ่งสังคมไร้คาร์บอน

01 พ.ค. 2566 | 03:43 น.

"กฟผ." รุก "ไฟฟ้าสีเขียว" เพิ่มโซลาร์เซลล์ลอยน้ำมุ่งสังคมไร้คาร์บอน มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ ศึกษาเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เทรนด์พลังงานโลกรวมถึงประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวจากพลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและการลงทุนมากขึ้นเพื่อลดอุปสรรคทางการค้าจากมาตรการภาษีคาร์บอน ในปี 2566 

กฟผ. จึงเร่งเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น ชุดที่ 1 กำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ ที่มีการติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานน้ำ รวมทั้งเพิ่มความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ 

ทั้งนี้ กฟผ. มีศักยภาพดำเนินโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดในเขื่อนสูงถึง 10,000 เมกะวัตต์ โดยเตรียมเสนอโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าสีเขียวของภาคธุรกิจ ควบคู่กับการเดินหน้าส่งเสริมใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) เพื่อยืนยันการใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียวตามมาตรฐานสากล 

โดย กฟผ. ได้รับสิทธิ์จาก I-REC ประเทศเนเธอร์แลนด์ ให้เป็นผู้รับรอง (Local Issuer) รายเดียวของประเทศไทย ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ออกใบรับรอง REC ให้แก่ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทยแล้วกว่า 5.58 ล้าน REC โดยในปี 2565 การออกใบรับรอง REC ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 106% 

นอกจากนี้ กฟผ. ยังศึกษาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อาทิ การใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียที่ไม่ปล่อยคาร์บอนระหว่างการเผาไหม้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตไฟฟ้า เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage : CCUS) เช่น การนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตไฟฟ้ามาแปรรูปเป็นเมทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยศึกษาใน 2 พื้นที่หลัก ได้แก่ โรงไฟฟ้าน้ำพอง จ.ขอนแก่น และ กฟผ.แม่เมาะ จ.ลำปาง

กฟผ. รุกไฟฟ้าสีเขียวขยายโซลาร์เซลล์ลอยน้ำมุ่งสังคมไร้คาร์บอน รวมถึงดำเนินการโครงการนำร่องการพัฒนาสมาร์ทกริดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาระบบไฟฟ้าสำหรับพื้นที่สูงหรือพื้นที่ห่างไกลให้มีความมั่นคงทางพลังงาน โดยนำเทคโนโลยีสมาร์ทกริดเข้ามาบริหารจัดการเชื่อมโยงระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์และโรงไฟฟ้าในพื้นที่ใน จ.แม่ฮ่องสอน ให้ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ควบคู่กับการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization) เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน เช่น 

พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ ซึ่งเป็นระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ด้วยพลังน้ำที่มีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำ สามารถปล่อยน้ำมาผลิตไฟฟ้าภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที จึงรองรับความไม่เสถียรของกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้อย่างทันท่วงที โดยปัจจุบัน กฟผ. มีแผนดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
 

จัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (RE Forecast Center) ตั้งเป้าดำเนินการ 17 แห่ง ทั่วประเทศ แบ่งเป็น ระดับภูมิภาค 6 แห่ง และระดับพื้นที่ที่มีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนตามสถานีไฟฟ้าแรงสูง 11 แห่ง คาดว่าเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการได้ในปี 2567 และ 2570 

นำร่องปรับปรุงสถานีไฟฟ้าแรงสูงดิจิทัล (Digital Substation) ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จ 2 แห่ง คือ สถานีไฟฟ้าแรงสูงกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และสถานีไฟฟ้าแรงสูงตราด จ.ตราด ส่วนสถานีไฟฟ้าแรงสูงสตูล จ.สตูล และสถานีไฟฟ้าแรงสูงแม่เมาะ 2 จ.ลำปาง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมและส่งจ่ายไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น 

สำหรับภารกิจด้านเชื้อเพลิง กฟผ. ได้ร่วมกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพิ่มความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิง LNG ของประเทศ โดยเข้าร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 บ้านหนองแฟบ จ.ระยอง ในสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 50 ซึ่งคาดว่าจะร่วมลงทุนได้ภายในปี 2566 

ด้านการสนับสนุนระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ ปัจจุบัน กฟผ. เปิดให้บริการสถานีชาร์จ EleX by EGAT และสถานีพันธมิตรในเครือข่าย EleXA แล้ว 120 แห่งทั่วประเทศ โดยในปี 2566 ตั้งเป้าขยายสถานีให้ได้รวมกว่า 180 แห่ง 

รวมถึงขยายความร่วมมือจาก 5 หน่วยงาน เป็น 12 หน่วยงานพันธมิตรเชื่อมโยงโครงข่ายสถานีชาร์จอีวี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้อีวีสามารถดูหมุดสถานีชาร์จข้ามค่ายได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น 

นายบุญญนิตย์ กล่าวอีกว่า กฟผ. ยังเตรียมยกระดับการจัดการใช้พลังงานของภาคประชาชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 โฉมใหม่ ที่แสดงค่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการปลูกป่าล้านไร่อย่างมีส่วนร่วม ทั้งป่าต้นน้ำ ป่าชุมชน และป่าชายเลน โดยในปี 2565 สามารถเพิ่มพื้นที่ปลูกป่ารวมกว่า 1.03 แสนไร่ ตั้งเป้าปลูกป่าในปี 2566 จำนวน 1 แสนไร่ โดยมีเป้าหมายปลูกป่าให้ครบ 1 ล้านไร่ในปี 2574  

“กฟผ. มุ่งมั่นเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพัฒนานวัตกรรมพลังงาน หวังชูจุดแข็งไฟฟ้าสีเขียวและความมั่นคงเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทย และขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและนานาชาติสู่สังคมไร้คาร์บอนอย่างยั่งยืน” 

นายบุญญนิตย์ กล่าวอีกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในระบบ กฟผ. ปี 2566 อยู่ที่ 208,187 ล้านหน่วย (GWh) เพิ่มขึ้น 3.32% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา