"บีโอไอ" รุกจีนดึงทุนอีวี อิเล็กทรอนิกส์ปั้นไทยเป็นฐานอุตสาหกรรม

10 เม.ย. 2566 | 08:13 น.

"บีโอไอ" รุกจีนดึงทุนอีวี อิเล็กทรอนิกส์ปั้นไทยเป็นฐานอุตสาหกรรม ระบุนักลงทุนจีนให้ความเชื่อมั่น และยืนยันเลือกไทยเป็นฐานธุรกิจสำคัญในภูมิภาค เผยจีนยื่นขอส่งเสริมลงทุนไตรมาสแรกกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) เปิดเผยว่า บีโอไอได้ดำเนินการร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อจัดสัมมนาใหญ่ที่นครเซี่ยงไฮ้ โดยมีโอกาาสได้พบกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) และผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของจีน รวมกว่า 10 บริษัท

ทั้งนี้ หลังจากที่จีนเปิดประเทศ บีโอไอจึงได้เร่งดำเนินการมาเยือน โดยพบว่านักลงทุนจีนให้ความเชื่อมั่น และยืนยันเลือกไทยเป็นฐานธุรกิจสำคัญในภูมิภาค โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล 

ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ของไทยในช่วง 1 - 2 ปีข้างหน้า จะเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องรุกดึงการลงทุนจากจีน เพราะสถานการณ์โลกมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้บริษัทต่าง ๆ มีความจำเป็นต้องขยายการลงทุนเพิ่มเติมจากฐานในประเทศจีน เพื่อลดความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้านั้น คณะไทยได้พบกับผู้ผลิตรายใหญ่ของจีน 5 ราย ได้แก่ Changan Automobile, Geely, BYD, JAC และ Jiangling Motors (JMC) ซึ่งทั้ง JAC และ JMC เป็นผู้ผลิตรถกระบะและรถบรรทุกไฟฟ้า โดยทุกรายแสดงความสนใจลงทุนผลิต EV ในประเทศไทย และสนับสนุนไทยให้เป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค เนื่องจากมองว่าไทยมีนโยบายเชิงรุกในการส่งเสริม EV แบบครบวงจร 

มีซัพพลายเชนของชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่พร้อมรองรับการผลิต EV อีกทั้งมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ และตลาดในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวสูง 

นอกจากนี้ ทุกรายยังให้ความสนใจการขยายมาตรการสนับสนุน EV หรือ EV 3.5 ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) แล้ว 

บีโอไอรุกจีนดึงทุนอีวี อิเล็กทรอนิกส์ปั้นไทยเป็นฐานอุตสาหกรรม โดยเบื้องต้นคาดว่าจะมีการลงทุนจากกลุ่มนี้ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่รวม BYD ที่ได้ขอรับส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์ EV และชิ้นส่วนในไทยแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท

“ผู้ผลิต EV ของจีน ยืนยันมองไทยเป็นเป้าหมายลำดับแรกในภูมิภาค เพราะมีความพร้อมในทุก ๆ ด้านสำหรับการสร้างฐานอุตสาหกรรม EV ทั้งผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปทั่วโลก อีกทั้งเห็นตัวอย่างการเติบโตของบริษัทจีนรายอื่นที่เข้าสู่ตลาดในไทยก่อนหน้านี้ เช่น MG, Great Wall Motor, BYD และ NETA ทำให้เกิดความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนมากขึ้น” 

นายนฤตม์ กล่าวอีกว่า กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของจีนเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะไปขยายฐานผลิตที่ไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในยานยนต์และอุปกรณ์สื่อสาร คณะได้พบกับผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) รายใหญ่ ได้แก่ WUS Printed Circuit (Kunshan) และ ASKPCB ซึ่งทั้งสองบริษัทมีแผนลงทุนในไทยรวมกันกว่า 12,000 ล้านบาท 

โดยได้หารือเรื่องการนำ supplier ของบริษัท ย้ายตามไปลงทุนในไทยอีกกว่า 200 บริษัท เพื่อบริหารต้นทุนการผลิตและการจัดส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งครั้งนี้ ได้พบกับ Supplier รายสำคัญกว่า 10 บริษัท เช่น Yiyang Jindong Technology, Haoyue New Materials Technology และ Guangdong Dtech รวมทั้งผู้บริหารสมาคมผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ของจีน

“กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ของจีน มีความจำเป็นต้องหาแหล่งผลิตที่ 2 นอกประเทศจีน หรือ China + 1 เพื่อกระจายความเสี่ยงและบริหารต้นทุนการผลิต ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย"

อย่างไรก็ตาม การมาลงทุนของกลุ่มนี้ จะต้องอาศัย supplier จำนวนมากในการสนับสนุนการผลิต ดังนั้น บีโอไอจะส่งเสริมให้ supplier บางส่วนเข้ามาลงทุนในไทย ควบคู่ไปกับการผลักดันบริษัทไทยที่มีศักยภาพ เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนนี้ ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ ซึ่งทางฝ่ายจีนก็ยินดีสนับสนุนด้วย     

นอกจากนี้ บีโอไอยังร่วมกับคณะกรรมการพาณิชย์นครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Municipal Commission of Commerce) จัดงานสัมมนาใหญ่ "Thailand's New Investment Promotion Measures: NEW Economy, NEW Opportunities"  เพื่อประชาสัมพันธ์มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และศักยภาพของประเทศไทย 

ทั้งด้านการเป็นฐานการผลิตและสำนักงานภูมิภาค รวมทั้งวีซ่าระยะยาว (Long-term Resident หรือ LTR Visa) เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพสูง

นายนฤตม์ กล่าวต่อไปอีกว่า หลังจากกิจกรรมครั้งนี้ จะมีคณะนักธุรกิจจีนเดินทางมาเยือนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันที่ 19 - 22 เมษายน 2566 สมาคมผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ของจีน (China Printed Circuit Association) จะนำคณะผู้ผลิต PCB และชิ้นส่วนกว่า 60 ราย มาศึกษาโอกาสการลงทุนในไทย 

ต่อจากนั้น ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2566 นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ จะนำคณะผู้บริหารและนักธุรกิจจีนกว่า 50 คน เดินทางมาจัดสัมมนาสร้างความร่วมมือไทย - จีน และประชาสัมพันธ์การลงทุนในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำแยงซี 

ตามด้วยงานประชุมนักธุรกิจจีนจากทั่วโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention-WCEC) ครั้งที่ 16 ระหว่างวันที่ 24 - 26 มิถุนายน 2566 ซึ่งจะมีนักธุรกิจจีนมาร่วมงานราว 4,000 คน

สำหรับในปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศจีนเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 158 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 77,381 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ และดิจิทัล โดยไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค. 2566) มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 38 โครงการ มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท