กรีนอุตสาหกรรม แห่ยื่นขอสิทธิลงทุนบีโอไอ 3 ปี มูลค่าพุ่ง 7.1 หมื่นล้าน

03 มี.ค. 2566 | 11:07 น.

กรีนอุตสาหกรรม ขอรับส่งเสริมการลงทุน บีโอไอ ช่วง 3 ปี มียอดขอรับส่งเสริมเกือบพันโครงการ มูลค่าเงินลงทุนพุ่ง 7.1 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิดผลงานทีมปฏิบัติการเชิงรุก

กรีนอุตสาหกรรม หรืออุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำลังเป็นเทรนด์สำคัญสำหรับการลงทุนที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะที่ฝั่งรัฐบาลเอง ที่ผ่านมาได้ประกาศยุทธศาสตร์ “Better and Green Thailand 2030” สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งการใช้พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ

ที่ผ่านมา มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยเข้ามาขอรับสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอ มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยยกระดับไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainable Industry

โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มียอดขอรับส่งเสริมในกลุ่มนี้ทั้งสิ้น 958 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 71,000 ล้านบาท    

ขณะเดียวกัน บีโอไอยังส่งเสริมการกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่เป้าหมายต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น พื้นที่อีอีซี พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้และเมืองต้นแบบ พื้นที่ 20 จังหวัดรายได้ต่อหัวต่ำ รวมถึงเขตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

ยอดลงทุนอุตสาหกรรมหลัก 6 แสนล้าน

นายนฤตม์ ระบุว่า ที่ผ่านมามีการโยกย้ายฐานผลิตครั้งใหญ่ โดยประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากรที่มีคุณภาพ อุตสาหกรรมสนับสนุนที่แข็งแกร่ง และศักยภาพการเป็นศูนย์กลางในหลาย ๆ ด้านของอาเซียน

รวมถึงนโยบายสนับสนุนต่าง ๆ ของภาครัฐ เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้เลือกใช้ไทยเป็นฐานลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะใน 5 อุตสาหกรรมมุ่งเป้า ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ BCG และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์

โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2563 – 2565) มียอดขอรับส่งเสริมการลงทุน 5 อุตสาหกรรมนี้รวม 2,687 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 6 แสนล้านบาท ดังนี้

1.อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า มียอดขอรับส่งเสริมรวม 46 โครงการ มูลค่า 78,115 ล้านบาท ผู้ประกอบการรายสำคัญ เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์, เกรท วอลล์ มอเตอร์, เอสเอไอซี มอเตอร์ (เอ็มจี), บีวายดี ออโต้, ฮอริษอน พลัส, กลุ่มพลังงานบริสุทธิ์, อีวีโลโม เทคโนโลยีส์ 

 

งานแถลงข่าว ทีมปฏิบัติการเชิงรุก – บีโอไอ เร่งเครื่อง ดึงลงทุนจากต่างประเทศ

2.อุตสาหกรรมดิจิทัล มียอดขอรับส่งเสริมรวม 420 โครงการ มูลค่า 64,481 ล้านบาท เช่น อะเมซอน ดาต้า เซอร์วิสเซส, อาลีบาบา คลาวด์, หัวเว่ย เทคโนโลยี่, เทเลเฮ้าส์, กลุ่มทรู 

3.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ มียอดขอรับส่งเสริมรวม 92 โครงการ มูลค่า 113,990 ล้านบาท เช่น ซีเกท เทคโนโลยี, เวสเทิร์น ดิจิตอล, ไมโครชิพ เทคโนโลยี, แม็กซิม อินทริเกรดเต็ด โปรดักส์, แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์, โตชิบา เซมิคอนดัคเตอร์, ชิโคนี่ อีเลคทรอนิคส์

4.อุตสาหกรรม BCG มียอดขอรับส่งเสริมรวม 1,911 โครงการ มูลค่า 305,170 ล้านบาท เช่น เนเชอร์เวิร์คส, จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล, พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม, พูแรค, เนสท์เล่, อายิโนะโมะโต๊ะ, สไปเบอร์, เอ็นวิคโค

5.อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มียอดขอรับส่งเสริมรวม 218 โครงการ มูลค่า 53,104 ล้านบาท เช่น เดอะ สตูดิโอ พาร์ค, กันตนา สตูดิโอ, กราวิตี้ เกม เทค, แพนดอร่า โพรดักชั่น

 

งานแถลงข่าวทีมปฏิบัติการเชิงรุก – บีโอไอ เร่งเครื่อง ดึงลงทุนจากต่างประเทศ

 

บริษัทข้ามชาติพร้อมตั้ง Headquarter

นอกจากนี้ บริษัทข้ามชาติหลายรายได้ตัดสินใจเข้ามาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarter) ในประเทศไทย เช่น อโกดา, หัวเว่ย เทคโนโลยี่, อาร์เซลิก ฮิตาชิ, อายิโนะโมะโต๊ะ, นิสชิน ฟู้ดส์, อัลสตอม, โตโยต้า มอเตอร์, นิปปอนสตีล โดยบริษัทเหล่านี้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานหลักในการกำกับดูแลและให้บริการกับบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค และได้ออกมาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร (Relocation Program) เพื่อกระตุ้นให้บริษัทชั้นนำจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทยมากขึ้น 

ขณะเดียวกัน บีโอไอ ยังร่วมมือกับ กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย จัดตั้งบริการช่องทางอำนวยความสะดวกออนไลน์สำหรับกิจการสำนักงานภูมิภาค โดยจะให้บริการไปพร้อมกับศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุน ทั้งการจัดตั้งกิจการสำนักงานภูมิภาคและการนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ

วางแผนจัดกิจกรรมดึงลงทุนตลอดปี

แผนการดึงลงทุนของบีโอไอ ในปีงบประมาณ 2566 ได้วางแผนจัดกิจกรรมเชิงรุกเจาะกลุ่มเป้าหมายกว่า 200 ครั้ง ทั้งการจัดคณะโรดโชว์จากส่วนกลางและสำนักงานบีโอไอ 16 แห่งทั่วโลก เพื่อเผยแพร่มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และโอกาสการลงทุนในประเทศไทย การจัดสัมมนารายประเทศรายอุตสาหกรรม การจับมือกับกลุ่มที่จะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุน เช่น ธนาคารใหญ่ บริษัทที่ปรึกษาสมาคมอุตสาหกรรม และหน่วยงานพันธมิตร และการเดินสายพบปะบริษัทสำคัญ 

โดยมีนักลงทุนเป้าหมายหลัก คือ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เกาหลี อินเดีย สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และ เนเธอร์แลนด์ 

 

หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

 

เปิดผลปฏิบัติการเชิงรุกดึงนักลงทุน

หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เปิดเผยว่า ทีมปฏิบัติการเชิงรุก มีเป้าหมายดึงดูดการลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านบาท สร้างตำแหน่งงานใหม่ 625,000 อัตรา และเพิ่มจีดีพีของประเทศอีก 1.7 ล้านล้านบาท 

การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และอิเล็กทรอนิกส์ 

รวมทั้งการริเริ่มออกวีซ่าประเภทใหม่สำหรับผู้พำนักระยะยาว (LTR Visa) เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ และผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ให้เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้ประเทศไทยมีกลุ่มบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตได้

 

ผลการดำเนินงาน ทีมปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ตามยุทธศาสตร์ “Better and Green Thailand 2030”