zero-carbon

GC เล็งทุ่มหมื่นล้าน ใช้ประโยชน์จาก CO2

GC เร่งขับเคลื่อนสู่ Net Zero คลอดแผนลงทุน 5 ปี 2.7 หมื่นล้าน เล็งทุ่ม 1 หมื่นล้าน ลงทุนการใช้ประโยชน์จากคาร์บอนฯ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ พร้อมปูพรมติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปใน 14 โรงงาน รวม 19 เมกะวัตต์

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัท ในปี 2566 ได้ตั้งเป้าทิศทางเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจใช้กลยุทธ์ 3 Steps Plus : Step Change, Step Out, Step Up โดยเฉพาะการมุ่งสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (ขอบเขต 1 และ 2) ให้ได้ 20 % ภายในปี 2573 และมุ่งสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero

รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต 3 ให้ได้ 50 % ในปี 2593 ภายใต้กรอบการดำเนินงาน Low Carbon Transition ได้แก่ Efficiency-driven ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานหลากหลายโครงการ และโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น

 Portfolio-driven : เดินหน้าปรับสัดส่วนธุรกิจมุ่งสู่ธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยการลงทุนในธุรกิจกลุ่ม High Value Business (HVB) และธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมแสวงหาโอกาสในการสร้าง Synergy (Leverage Synergy) ให้เกิดมูลค่าสูงสุดจากธุรกิจ ตลาด และเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการ

 Compensation-driven : ดำเนินโครงการฟื้นฟูและเสริมสร้างสมดุลของระบบนิเวศของป่าร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมรวมถึงชุมชนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2556 บนพื้นที่รวมกว่า 2,500 ไร่ อาทิ โครงการปลูกป่านิเวศระยองวนารมย์ จำนวน 80 ไร่ ตามหลักการ Eco Forest และสร้างความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย และลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS) ในการดักจับและกักเก็บคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ

GC เล็งทุ่มหมื่นล้าน ใช้ประโยชน์จาก CO2

ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่าง ๆ เช่น Chemical Polymer และ Ingredient เป็นต้น ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 200,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี

ดร.คงกระพัน กล่าวอีกว่า บริษัทได้ตั้งงบลงทุน 5 ปี (2566-2570) อยู่ที่ 793 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 27,430 ล้านบาท โดยใช้ลงทุนในโครงการปรับปรุงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ประมาณ 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โครงการของกลุ่ม บริษัท allnex Holding GmbH ที่ PTTGC ซื้อกิจการมา ประมาณ 491 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และโครงการอื่นๆ เช่น โครงการเกี่ยวกับไอที & ดิจิทัล, โครงการปรับปรุงอาคารสำนักงาน, โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต อีกประมาณ 269 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นต้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาปี 2564-2565 GC Group ได้ลงทุนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือยนกระจกผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการ Maptaphut Integration (MTPi) ขับเคลื่อนการบริหารจัดการพลังงานและระบบสาธารณูปโภคให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โครงการอนุรักษ์พลังงาน ช่วยลดการใช้พลังงานเทียบเท่าการลดคาร์บอนไดออกไซด์ 80,280 ตัน การใช้พลังงานทดแทน เช่น โครงการ Solar Rooftop และ Solar Floating สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์กว่า 480 กิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อวัน ลดปริมาณการใช้นํ้าจืดจากแหล่งนํ้าธรรมชาติมาใช้ในกระบวนการผลิต 2.97 ล้านลูกบาศก์เมตร (5 % ของการใช้นํ้าทั้งหมด)

ต่อยอดขยายผล YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ร่วมกับภาคีพันธมิตรนำขยะพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลและอัพไซคลิง จำนวน 310 ตัน โรงงาน ENVICCO ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง ระดับ Food Grade มาตรฐานระดับโลก ที่เริ่มผลิตตั้งแต่กันยายน 2565 เป็นต้นมา จะช่วยลดพลาสติกใช้แล้วในประเทศได้ถึง 60,000 ตันต่อปี การลงทุนในบริษัท allnex ด้านการผลิตสารเคลือบและสารเติมแต่งที่เป็นมิตร ต่อสิ่งแวดล้อม และการปลูกและฟื้นฟูป่า สำหรับการชดเชยคาร์บอน

รวมทั้ง บริษัทฯ มีการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บพลังงานโดยใช้แบตเตอรี่ศักยภาพสูง ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด โดยบริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท ESS inc. ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ New York Stock Exchange (NYSE) ภายใต้ชื่อย่อ GWH

สำหรับในปี 2566 จะมีโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทำให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของ GC ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2566

โครงการก่อสร้างโรงงานไบโอพลาสติก PLA แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ของบริษัท NatureWorks ที่จังหวัดนครสวรรค์ มูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2567

โครงการผลิตพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง ที่ได้ร่วมทุนร่วมทุนได้แก่ บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัด และ บริษัท Sumitomo ของประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High Heat Resistant Polyamide-9T (PA9T) กำลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่อปี และ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปีคาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสแรก ปี 2566 นี้