เพิ่งเริ่มต้นปี แต่ยุโรปได้ทำลายสถิติสภาพอากาศที่น่าตกใจเนื่องจากความร้อนจัดแผ่กระจายไปทั่วทวีป แม้ว่าช่วงเวลานี้ในช่วงที่หลายประเทศในยุโรปอยู่ในฤดูหนาว แต่จากรายงานของ CNN ระบุว่า เมื่อช่วงที่ผ่านมาในระยะเข้าสู่ปีใหม่ได้ไม่กี่ชั่วโมง ชาวยุโรปเผชิญกับคลื่นความร้อน ด้วยอุณหภูมิทุบสถิติตั้งแต่วันแรกของปี 2023 โดยเฉพาะใน 8 ประเทศ ได้แก่ ลิกเตนสไตน์ สาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลารุส ลิทัวเนีย เดนมาร์ก และลัตเวีย
นักภูมิอากาศวิทยาซึ่งติดตามสถานการณ์อุณหภูมิร้อนจัดทั่วโลก กล่าวว่า นี่คือคลื่นความร้อนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป โดยพิจารณาจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเหนือระดับปกติ เมืองที่มักถูกปกคลุมด้วยหิมะกลับมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับที่มักจะเห็นในฤดูร้อน โดยอุณหภูมิในหลายพื้นที่ของยุโรปอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงหน้าหนาวถึง 4-10 องศาเซลเซียส
ไม่เพียงแต่ความร้อนจะรุนแรงผิดปกติเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายเป็นบริเวณกว้าง ตั้งแต่พรมแดนของยุโรปกับเอเชียไปจนถึงตอนเหนือของสเปน ถือเป็นครั้งแรกที่คลื่นความร้อนในยุโรปสามารถเทียบเคียงกับความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในอเมริกาเหนือ
วาดุซ เมืองหลวงของลิกเตนสไตน์ มีอุณหภูมิสูงสุดที่ 20 องศาเซลเซียส (68 ฟาเรนไฮต์) เมือง Javornik ของสาธารณรัฐเช็กมีอุณหภูมิสูงถึง 19.6 องศาเซลเซียส (67.3 ฟาเรนไฮต์) และหมู่บ้าน Jodłownik ในโปแลนด์ ทำสถิติสูงสุดที่ 19 องศาเซลเซียส องศาเซลเซียส (66 ถือ.2 ฟาเรนไฮต์)
นักอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะระบุอย่างมั่นใจว่า ความร้อนจัดนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วกำลังเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงมากขึ้น
สำหรับ คลื่นความร้อน (heat wave) นั้น เป็นผลที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่เห็นได้ชัด รวมทั้ง ฝนตกรุนเเรงเเละน้ำท่วมหนัก (extreme rainfall and flood) ภัยเเล้งที่ยืดเยื้อ (droughts) เเละการเกิดไฟป่าเพิ่มขึ้น (wildfires)
ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าการเกิดคลื่นความร้อนบ่อยครั้งนั้นมีสาเหตุมาจากการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์ มีการศึกษาระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเพิ่มแนวโน้มการเกิดคลื่นความร้อนบนพื้นทวีปราว 5 เท่า เพิ่มแนวโน้มการเกิดคลื่นความร้อนในมหาสมุทร 20 เท่า งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งยังระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเพิ่มโอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนในทวีปไซบีเรียมากถึง 600 เท่า
เหตุการณ์หนึ่งที่เห็นได้ชัด ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 อินเดียและปากีสถานเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรง เป็นหนึ่งในคลื่นความร้อนที่ร้อนแรงและยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ประเทศทั้งสองเริ่มบันทึกรายงานสภาพอากาศ อุณหภูมิสูงสุดวัดได้บริเวณเมืองจูรูในรัฐราชสถานของอินเดีย อยู่ที่ 50.8 องศาเซลเซียส (123.4 องศาฟาเรนไฮต์)
ซึ่งเกือบสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในอินเดีย ณ วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 คลื่นความร้อนระลอกนี้กินเวลามาแล้ว 32 วัน นับเป็นคลื่นความร้อนที่กินเวลานานที่สุดเป็นอันดับที่สองเท่าที่เคยบันทึกไว้ อุณหภูมิที่ร้อนจัดและการเตรียมพร้อมรับมือที่ไม่เพียงพอส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในรัฐพิหารแล้วมากกว่า 184 คนโดยมีรายงานผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศในปากีสถาน มีเด็กเล็ก 5 คนเสียชีวิตจากอากาศที่ร้อนจัด
คลื่นความร้อนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับภัยแล้งและการขาดแคลนน้ำทั่วประเทศ ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน อ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ที่ส่งน้ำสู่เมืองเจนไนได้แห้งเหือด ทำให้มีผู้คนจำนวนนับล้านที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำได้ วิกฤตการณ์น้ำทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงและการขาดความเตรียมพร้อม นำไปสู่การประท้วงและการต่อสู้แย่งชิงน้ำซึ่งทำให้มีผู้ถูกฆ่า ถูกแทง และถูกทุบตี
ปัจจุบันสภาพภูมิอากาศสุดขั้วนานาประเทศเเละองค์การระหว่างประเทศทั่วโลกให้ความสนใจเเละร่วมกันหาเเนวทางจัดการ
ประเทศไทย
เริ่มนโยบายเเละยุทธศาสตร์ระดับภาครัฐที่สำคัญ ได้เเก่ แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2558-2593, แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี พ.ศ. 2564-2573, แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
คลื่นความร้อน คืออะไร เเละส่งผลอย่างไร
เเน่นอนว่านี่น่าจะมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และหากไม่ลดการปลดปล่อยคาร์บอน วงจรวิกฤตนี้ก็จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ปัญหาท้าทายที่โลกต้องเร่งจัดการ
ข้อมูล CNN , ป่าสาละ , sdgmove , World Meteorological Organization