In Brief
ในช่วงหลายปีก่อนหน้า 2025 สหรัฐอเมริกาเคยถูกมองว่าอาจก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนด้านนโยบายสภาพอากาศอย่างจริงจัง อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยนิยามวิกฤตโลกร้อนว่าเป็น “โอกาสครั้งใหญ่” และในช่วงดำรงตำแหน่ง รัฐสภาสหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมายด้านสภาพอากาศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ ภาพของอนาคตสีเขียวดูเหมือนอยู่ไม่ไกล
แต่แรงส่งดังกล่าวหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเดือนมกราคม 2025
ตั้งแต่วันแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์เดินหน้ารื้อถอนนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การยกเลิกกฎคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การตัดงบวิจัยด้านสภาพอากาศ ไปจนถึงการถอนตัวจากพันธะสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก พร้อมกันนั้น รัฐบาลทรัมป์ยังเร่งผลักดันการผลิตน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหิน ภายใต้นโยบายที่เรียกว่า “energy dominance” หรือการครอบงำด้านพลังงาน
ท่าทีดังกล่าวสวนทางกับภาพรวมของโลก ที่ในปีเดียวกันมีการติดตั้งแผงโซลาร์และกังหันลมมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
นักวิเคราะห์มองว่าปี 2025 คือปีที่เกิด “แรงต้านนโยบายสีเขียว” อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับรัฐบาลกลาง แต่แผ่ขยายไปยังภาคธุรกิจ การเมือง และสังคมวงกว้าง
คำอย่าง “พลังงานสะอาด” “วิทยาศาสตร์สภาพอากาศ” และ “มลพิษ” เริ่มหายไปจากเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ ขณะที่บริษัทเอกชนจำนวนมากลดระดับการสื่อสารเรื่องเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและ Net Zero ลงอย่างเห็นได้ชัด นักการเมืองฝั่งเดโมแครตเองก็ปรับกลยุทธ์ หลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งปี 2024 โดยหลีกเลี่ยงการพูดถึงวิกฤตโลกร้อนโดยตรง และหันไปเน้นประเด็นค่าครองชีพและต้นทุนพลังงานแทน
หนึ่งในคำที่ถูกหยิบมาใช้บ่อยคือ “cheap energy” หรือพลังงานราคาถูก ซึ่งพยายามเชื่อมโยงพลังงานสะอาดเข้ากับการลดค่าใช้จ่ายของประชาชน มากกว่าการสื่อสารในกรอบสิ่งแวดล้อมโดยตรง
แรงต้านนโยบายสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องใหม่ในเวทีโลก ก่อนหน้านี้ยุโรปเคยเผชิญกระแสดังกล่าวมาแล้ว หลังสหภาพยุโรปเดินหน้ามาตรการด้านสภาพอากาศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกรณีเยอรมนี ที่แผนเปลี่ยนระบบทำความร้อนเป็นแบบประหยัดพลังงานสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนที่กังวลต้นทุนค่าใช้จ่าย
แต่ในสหรัฐฯ กระแสต่อต้านถูกขับเคลื่อนเพิ่มด้วยการเมืองแบบประชานิยมและสงครามวัฒนธรรม ซึ่งทำให้นโยบายโลกร้อนถูกโยงเข้ากับอัตลักษณ์ทางการเมือง มากกว่าการเป็นประเด็นวิทยาศาสตร์หรือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจระยะยาว
คำศัพท์แห่งปีที่สะท้อนการเมืองและเศรษฐกิจ
บรรยากาศทางการเมืองและสังคมในปี 2025 ยังสะท้อนผ่านคำศัพท์และวลีใหม่ ๆ ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง
คำว่า “critical minerals” กลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อรัฐบาลทรัมป์ผลักดันการทำเหมืองแร่สำคัญ เช่น ลิเทียม โคบอลต์ นิกเกิล และแร่หายาก เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงาน และความมั่นคงแห่งชาติ หุ้นบริษัทเหมืองแร่บางแห่งพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว ท่ามกลางมุมมองว่าทรัพยากรเหล่านี้อาจมีบทบาททางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ต่างจากน้ำมันในอดีต
ขณะที่คำว่า “Green New Scam” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของนโยบายด้านสภาพอากาศ โดยการนำเสนอว่ามาตรการสีเขียวเป็นภาระหรือเป็นกลลวงทางเศรษฐกิจ
ในอีกด้านหนึ่ง สังคมอเมริกันเริ่มพูดถึงผลกระทบทางจิตใจจากสภาพอากาศสุดขั้วผ่านคำว่า “rain anxiety” ซึ่งสะท้อนความหวาดวิตกของผู้ที่เคยเผชิญน้ำท่วมซ้ำซาก
แม้แต่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเองก็ได้รับผลกระทบทางการเมือง เมื่อคำว่า “swasticar” ถูกใช้เรียกรถ Tesla หลังเกิดกระแสต่อต้านบริษัทและผู้บริหาร ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถ EV จากสัญลักษณ์สีเขียวไปสู่ประเด็นทางอุดมการณ์
วิกฤตอากาศรุนแรง แต่การเมืองถอยหลัง
ท่ามกลางแรงต้านนโยบายสีเขียว ความเป็นจริงด้านสภาพอากาศกลับยิ่งรุนแรงขึ้น ปี 2025 สหรัฐฯ เผชิญภัยพิบัติหลายรูปแบบ ตั้งแต่ไฟป่าครั้งใหญ่ในลอสแอนเจลิสช่วงต้นปี ไปจนถึงฝนตกหนักในรัฐเทกซัสช่วงกลางปี ซึ่งก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 50 ปี
ข้อมูลจากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ภายในกลางปี 2025 มีการออกประกาศเตือนน้ำท่วมฉับพลันเกือบ 4,000 ครั้ง สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1986 นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า บรรยากาศที่อุ่นขึ้นสามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ทำให้ฝนตกหนักและภัยพิบัติเกิดถี่และรุนแรงกว่าเดิม
แม้การเมืองจะลดบทบาทประเด็นโลกร้อนลง แต่ผลสำรวจยังชี้ว่า ชาวอเมริกันราว 2 ใน 3 ยังคงกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสูง
ปีที่โลกเห็นชัด แต่การเมืองเลือกมองข้าม
เมื่อปี 2025 กำลังจะปิดฉากลง ภาพที่ชัดเจนคือความย้อนแย้งระหว่างวิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรง กับการเมืองที่ถอยห่างจากการรับมือปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์
ปีนี้จึงถูกจดจำไม่เพียงในฐานะปีแห่งสภาพอากาศสุดขั้ว แต่ยังเป็นปีที่แรงต้านนโยบายโลกร้อนกลายเป็นกระแสหลักในเวทีการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้โลกต้องขบคิดต่อไปว่า การถอยหลังในวันนี้ จะสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจและชีวิตในวันข้างหน้ามากเพียงใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง