net-zero

‘ราช กรุ๊ป’ เล็งอัด 9 หมื่นล้าน ลุยออสเตรเลีย ปรับเป้าพลังงานทดแทน 40% ปี 73

In Brief

  • ราช กรุ๊ป เตรียมลงทุนในออสเตรเลียประมาณ 73,000-91,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงานรวม 9 โครงการ
  • บริษัทได้ปรับเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 40% ภายในปี 2573 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิม 5 ปี
  • การลงทุนในออสเตรเลียผ่านบริษัทย่อย (RAC) ถือเป็นฐานธุรกิจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของพอร์ตพลังงานทดแทนของบริษัทให้เร็วขึ้น

ราช กรุ๊ป เตรียมปรับพอร์ตพลังงานทดแทนสัดส่วน 40% ปี 2573 เร็วกว่าเป้าหมายเดิม 5 ปี ชูออสเตรเลียฐานสำคัญพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และ BESS 9 โครงการใน 5 ปี เงินลงทุนกว่า 9 หมื่นล้านบาท

บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านพลังงานและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าในเอเชียแปซิฟิก ได้กำหนดกลยุทธ์ใหม่ 5S ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่

S1 การบริหารพอร์ตสินทรัพย์ โดยเน้นการปรับปรุงศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำกำไร

S2 การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้าของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

S3 การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน

S4 การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ

S5 ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง

โดยตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608

นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ใหม่นี้ ได้กำหนดทิศทางธุรกิจที่มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก โดยจะขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุดทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ และนวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก

นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทเตรียมที่จะปรับพอรต์ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนใหม่ จากเดิมที่กำหนดไว้จะมีสัดส่วนที่ 30% เพิ่มเป็น 40% ภายในปี 2573 จากเดิมที่กำหนดไว้ภายในปี 2578 หรือเร็วกว่าเป้าหมายเดิม 5 ปี ซึ่งเป็นผลจากการขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนในอินโดนีเซีย สปป. ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะออสเตรเลีย ที่มีบริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เป็นแกนหลักในการช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของกลุ่ม โดยมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ตามแผนพัฒนากำลังผลิตของออสเตรเลียที่มีเป้าหมาย Net Zero ในปี 2593

 “ปัจจุบัน ราช กรุ๊ป มีกำลังการผลิต 10,815 เมกะวัตต์ เป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล 7,843 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 72.5% และพลังงานทดแทน 2,972 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 27.5% เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 9,449 เมกะวัตต์”

ดังนั้น RAC จึงเป็นฐานธุรกิจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตพอร์ตพลังงานทดแทนของบริษัทได้อย่างมาก ที่จะช่วยเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนของบริษัทได้เร็วขึ้น จากปัจจุบันที่มีโรงไฟฟ้ากระจายอยู่ในรัฐสำคัญของออสเตรเลีย ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 1,590.89 เมกะวัตต์

ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ กำลังผลิตรวม 703.20 เมกะวัตต์ และพลังงานทดแทน 887.69 เมกะวัตต์ ช่วยสร้างรายได้ให้กับกลุ่มในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ได้ถึง 2,948 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19 % จากรายได้รวมของบริษัท

‘ราช กรุ๊ป’ เล็งอัด 9 หมื่นล้าน ลุยออสเตรเลีย ปรับเป้าพลังงานทดแทน 40% ปี 73

ปัจจุบัน RAC อยู่ระหว่างเร่งผลักดันโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงาน(BESS)ในออสเตรเลียให้ได้ตามแผนที่วางไว้ช่วงปี 2569-2573 จากโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนา 9 โครงการ รวมกำลังผลิต 2,771 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,325-4,146 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (คำนวณจาก 1.2-1.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อเมกะวัตต์ หรือประมาณ 73,000-91,000 ล้านบาท (คำนวณจาก 22 บาทต่อดอลลาร์ออสเตรเลีย)

ทั้งนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Marulan กำลังผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับ BESS ขนาด 81 เมกะวัตต์ กักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ใช้เงินลงทุนราว 440 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 รองรับการใช้ไฟฟ้าได้ 56,000 ครับเรือนต่อปี

โครงการระบบกักเก็บพลังงาน Beryl ขนาด 100 เมกะวัตต์ กักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งเป็นโครงการสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลออสเตรเลียและรัฐนิวเซาท์เวลส์ ในการเพิ่มการใช้พลังงานที่เชื่อถือได้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของพลังงานในอนาคต ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ คาดจะเปิดดำเนินการในปี 2572 สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้าได้ 330 ครัวเรือนต่อปี

โครงการระบบกักเก็บพลังงาน EL Arish ขนาด 250 เมกะวัตต์ กักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยเสริมเสถียรภาพระบบไฟฟ้า โดยคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2572 รองรับการใช้ไฟฟ้า 1,000 ครัวเรือนต่อปี ปัจจุบันอยู่อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อขอเชื่อต่อระบบส่ง และแผนงานโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ปี 2572

โครงการพลังงานลม Springlands กำลังผลิต 800 เมกะวัตต์ เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อยู่ในขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และการรับฟังความคิดเห็น คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573

รวมถึงโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 5 โครงการได้แก่ โครงการพลังงานลม Lincon Gap 3 กำลังผลิต 260 เมกะวัตต์ ร่วมกับกับระบบกักเก็บพลังงาน ขนาด 130 เมกะวัตต์ เพื่อเพิ่มความเสถียรในการจ่ายไฟ โครงการพลังงานลม Lincon Gap 4 กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Western Range กำลังผลิต 300 เมกะวัตต์ ร่วมกับกับระบบกักเก็บพลังงานขนาด 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ประมาณปี 2573

โครงการระบบกักเก็บพลังงาน Kemerton ขนาด 200 เมกะวัตต์ ซึ่งมีแผนพัฒนาในพื้นที่ของโรงไฟฟ้าเดิมในรัฐ Western Australia เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ และโครงการ Merridine ซึ่งเป็นโครงการ Hybrid ทั้งจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ร่วมกับ BESS ขนาด 200 เมกะวัตต์

ดังนั้น จากแผนพัฒนากำลังผลิตของออสเตรเลียที่มีเป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 และมีแผนระยะสั้นที่จะเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าหมุนเวียนในตลาดให้ได้ 82% ของกำลังการผลิต ภายในปี 2573 จะเป็นโอกาสในการขยายการลงทุนพร้อมขับเคลื่อนไปสู่ Net Zero ของกลุ่มราช กรุ๊ป ได้