net-zero

30 ปี ฉลากเบอร์ 5 ช่วยชาติประหยัด 2 แสนล้าน ดันโครงการใหม่ปี 69 นำมาหักค่าใช้จ่ายได้

In Brief

  • โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ดำเนินการมาครบ 30 ปี สามารถช่วยชาติประหยัดค่าไฟฟ้าได้ราว 2 แสนล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 22 ล้านตัน
  • กระทรวงพลังงานเตรียมยกระดับโครงการโดยการควบรวมฉลากเบอร์ 5 ของ กฟผ. และฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงของ พพ. เป็นฉลากรูปแบบใหม่ ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 16 มกราคม 2569
  • รัฐบาลออกมาตรการทางภาษีให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้ออุปกรณ์ที่ได้ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง (ระดับ 5 ดาว) มาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง คาดว่าจะมีผลในปี 2569

การจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Demand Side Management: DSM) ภายใต้โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ถือเป็นอีกกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปีพ.ศ. 2608 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ปัจจุบันได้ถูกนำมาผนวกกับโครงการผลิตภัณฑ์ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อสร้างความมั่นใจคูณ 2 ยึดหลักการสร้างคุณค่า และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น

ตลอดระยะเวลา 30 ปี การดำเนินงานโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ได้กระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชนิด เช่น ตู้เย็น และได้ขยายครอบคลุมผลิตภัณฑ์กว่า 27 ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ พัดลม โทรทัศน์ และหลอดไฟ

30 ปี ฉลากเบอร์ 5 ช่วยชาติประหยัด 2 แสนล้าน ดันโครงการใหม่ปี 69  นำมาหักค่าใช้จ่ายได้

ขณะที่โครงการผลิตภัณฑ์ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง เริ่มดำเนินการในปี 2550 จากเตาแก๊สประสิทธิภาพสูง จนปัจจุบันได้ขยายครอบคลุมกว่า 19 ผลิตภัณฑ์ อาทิ กระจก หลังคากระเบื้อง สีทาผนัง มอเตอร์ เครื่องยนต์ทางการเกษตร เป็นต้น

ความสำเร็จของโครงการนี้ จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การติดฉลาก แต่เป็นการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค ทำให้ “เบอร์ 5” กลายเป็นคำที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า จนผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานเพื่อติดฉลากนี้

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้ยกระดับและพัฒนาแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ โดยมุ่งเน้นมาตรการเชิงเทคโนโลยี และนวัตกรรมสำหรับการอนุรักษ์พลังงาน รองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี รูปแบบการใช้พลังงาน ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและสร้างการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593

30 ปี ฉลากเบอร์ 5 ช่วยชาติประหยัด 2 แสนล้าน ดันโครงการใหม่ปี 69  นำมาหักค่าใช้จ่ายได้

โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ที่ กฟผ. ดำเนินการตลอดระยะเวลา 30 ปี และโครงการฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงของ พพ. ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จึงนับเป็นโครงการต้นแบบด้านการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาคอาเซียน และระดับสากล ตอบสนองนโยบายภาครัฐ สร้างผลลัพธ์การประหยัดพลังงานให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล

ดังนั้น เพื่อยกระดับการบริหารจัดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายในการควบรวมฉลากทั้ง 2 ชนิด เป็นรูปแบบเดียวกัน เพื่อสร้างความมั่นใจคูณ 2 ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟฟ้าและผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น ซึ่งฉลากเบอร์ 5 ใหม่จะครอบคลุม 45 ผลิตภัณฑ์ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยจะเริ่มวางจำหน่าย 16 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้ความสำคัญ โดยคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนและการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานด้วยมาตรการทางภาษี เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคสนใจลงทุนในอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

โดยประชาชนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถซื้ออุปกรณ์ที่ได้รับรองฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงหรือฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน (ระดับ 5 ดาว) ที่ พพ. รับผิดชอบ สามารถนำใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ของกรมสรรพากร มาหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายจริง ซึ่งปัจจุบันกรมสรรพากร อยู่ระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามอำนาจในประมวลรัษฎากร ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้จะมีผลสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2571

ดังนั้น หากมาตรการจูงใจทางภาษีเริ่มดำเนินการได้ปี 2569 จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้ประมาณ 254,063 ล้านบาท ช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศรวม 30,268.16 ล้านหน่วยต่อปี ลดการนำเข้า Spot LNG (การซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว) เพื่อผลิตไฟฟ้า 110,188.33 ล้านบาท และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 15.34 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2538 เพื่อมุ่งยกระดับมาตรฐานอุปกรณ์ไฟฟ้าควบคู่ไปกับการรณรงค์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ และที่ผ่านมาได้มีการปรับรูปแบบฉลากเบอร์ 5 ให้แสดงประสิทธิภาพมากขึ้นเป็น เบอร์ 5 “3 ดาว” และเบอร์ 5 สูงสุด “5 ดาว”

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากเบอร์ 5 ทั้งสิ้น 27 ผลิตภัณฑ์ กว่า 520 ล้านดวง จากผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 325 ราย สามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 40,000 ล้านหน่วย หรือช่วยประหยัดการผลิตไฟฟ้าได้ราว 2 แสนล้านบาท และสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้กว่า 22 ล้านตัน เทียบเท่าปลูกต้นไม้กว่า 1,720 ล้านต้น (ข้อมูล ณ ส.ค. 2568)

นอกจากนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กฟผ.ยัง ได้วางแผนดำเนินโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มีการขยายผลไปยังโครงการบ้านเบอร์ 5 อาคารเบอร์ 5 โรงเรียนเบอร์ 5 และโรงแรมเบอร์ 5 รวมกว่า 353 แห่ง

ขณะที่โครงการผลิตภัณฑ์ฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูงของ พพ. ที่มี 19 ผลิตภัณฑ์ สามารถจ่ายฉลากไปแล้ว 48 ล้านฉลาก สามารถประหยัดพลังงานได้ 1,160 Ktoe คิดเป็นมูลค่าประหยัดได้ราว 17,000 ล้านบาท ช่วยลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5.7 ล้านตัน ตลอดระยะเวลา 18 ปี ที่ดำเนินงานมา

“โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากพันธมิตรทุกภาคส่วน ที่ร่วมผลักดันโครงการฯ ให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งการร่วมมือกับ พพ. ในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ไปสู่การสร้างโลกสีเขียวที่ยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น”