In Brief
Gen Z หรือเจนเนอเรชันที่เกิดในช่วงปี 1997 ถึง 2012 หรือบางแหล่งระบุว่าอยู่ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2010 เป็นกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่นที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต ทำให้พวกเขามีแนวคิดและวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน
แรงผลักดันหลักที่ทำให้ Gen Z ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการเลือกซื้อสินค้า ได้แก่ การเติบโตมาพร้อมกับปัญหาสิ่งแวดล้อม Gen Z เป็นคนกลุ่มแรกที่เติบโตมาพร้อมกับโลกดิจิทัลและเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว พวกเขาเกิดมาและได้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยตรง ทำให้เป็นกลุ่มคนที่รู้สึก กังวลเรื่องภาวะโลกร้อนมากที่สุด และตระหนักว่าโลกได้เข้าสู่ภาวะโลกเดือดแล้ว
ความกังวลนี้กระตุ้นให้พวกเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการบริโภคเพื่อความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรกความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่สูงขึ้น Gen Z มีความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
กลุ่มนี้มองว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่นโยบายสำคัญของธุรกิจ แต่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำหรือหน้าที่ที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องทำอยู่แล้ว ค่านิยมและความรับผิดชอบต่อสังคม Gen Z มีแนวโน้มที่จะมองหาเนื้อหาที่สร้างแรงบันดาลใจและมีความหมายสำหรับชีวิตจริง พวกเขาให้ความสำคัญกับความเป็นตัวของตัวเอง และต้องการให้การบริโภคของพวกเขามีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและดีขึ้น
พวกเขาสนใจประเด็นการเมืองและความยุติธรรมทางสังคม และมักจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย การเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างไม่มีขีดจำกัดทำให้ Gen Z เป็นตัวแทนของความคิดเห็นที่หลากหลายและแตกต่างในสังคม ใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพื่อสื่อสาร, แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเป็นช่องทางให้ความยั่งยืนและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมกลายเป็นหัวข้อการพูดคุยที่แพร่หลาย
นอกจากนี้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเชื่อ Influencer หรือการรีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่าสื่อโฆษณา ความต้องการความโปร่งใสและที่มาของผลิตภัณฑ์ Gen Z และ Millennials มีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเพื่ออาหารที่มาจากแหล่งที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และต้องการรู้ที่มาของอาหารที่พวกเขาบริโภค แบรนด์ต่างๆ จึงต้องเน้นการสื่อสารเรื่องความโปร่งใสในกระบวนการผลิต และคุณภาพของอาหาร
แรงจูงใจทางการเงินและสิ่งแวดล้อมสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภท สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า 68% ของ Gen Z สนใจมากขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และ 43% ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมี 30% ที่มองเรื่องการสนับสนุนด้านเงินทุนจากภาครัฐ อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนและสังคม Gen Z มักจะมองหาการสร้างชุมชนออนไลน์ที่เข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกัน
มีแนวโน้มที่จะแสวงหาการเชื่อมโยงกับผู้อื่นที่มีอุดมการณ์และความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่คล้ายคลึงกัน ทำให้การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสังคมของพวกเขา การมีวิถีชีวิตที่คำนึงถึงสุขภาพจิต Gen Z ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตเป็นอย่างมาก พวกเขาตระหนักว่าการสร้างสมดุลในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ลังเลที่จะตัดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตออกไป ซึ่งแนวคิดนี้สามารถขยายไปถึงการเลือกผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่สอดคล้องกับค่านิยมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม
การเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน Gen Z เลือกงานที่สอดรับกับความเชื่อของตัวเอง โดย 77% ของ Gen Z ในสหรัฐอเมริกาคิดว่าการทำงานในองค์กรที่มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นสิ่งสำคัญ พวกเขายอมรับเงินเดือนที่น้อยลงได้หากบริษัทนั้นตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยรวมแล้ว Gen Z ได้กลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลสูงในการขับเคลื่อนเทรนด์ความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของตัวเอง แต่ยังส่งอิทธิพลให้คนรุ่นอื่นหันมาสนใจวิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้นด้วย
ด้านรายงาน Generation Unlimited สะท้อนว่า เยาวชนทั่วโลก โดยเฉพาะ Gen Z ต้องการก้าวสู่งานสีเขียวและพร้อมมีส่วนร่วมแก้ปัญหาภูมิอากาศ พวกเขาแสดงความสนใจต่อการพัฒนาทักษะสีเขียวและการจ้างงานที่ยั่งยืน รวมถึงต้องการมีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
แม้ความวิตกกังวลต่อภูมิอากาศกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก แต่เยาวชนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่ายังมีเวลาแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น หลายคนสนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดนโยบายและก้าวสู่อาชีพสีเขียว
ผลสำรวจชี้ว่า เยาวชนมากกว่าสองในสามทั่วโลกกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่ออนาคตของพวกเขา โดยเยาวชนในกลุ่ม Global North มีระดับความวิตกกังวลด้านภูมิอากาศสูงกว่า (76%) เมื่อเทียบกับเยาวชนในกลุ่ม Global South (65%)
อุปสรรคใหญ่ที่รายงานเน้นย้ำคือ การขาดทักษะสีเขียว มีเยาวชนน้อยกว่าครึ่งทั่วโลก (44%) ที่รู้สึกว่าตนเองมีทักษะสีเขียวที่จำเป็นในตลาดแรงงานปัจจุบัน โดยเยาวชนในชนบทมีแนวโน้มที่จะขาดทักษะเหล่านี้มากกว่าเยาวชนในเขตเมือง ความแตกต่างยังปรากฏระหว่างประเทศ
เช่น เยาวชนบราซิลเกือบ 60% รู้สึกว่าตนเองมีความพร้อม แต่มีเพียง 5% ของเยาวชนเอธิโอเปียที่กล่าวเช่นเดียวกัน ที่น่ากังวลคือบางประเทศอย่างออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ความรู้ของเยาวชนเกี่ยวกับประเด็นสีเขียว เช่น การออกแบบอย่างยั่งยืนและพลังงาน กลับลดลงจากปี 2023 โดยยังคงคุ้นเคยเพียงแนวทางพื้นฐาน เช่น การรีไซเคิลและการลดขยะ
รายงาน Generation Unlimited ยังเน้นย้ำถึงช่องว่างระหว่างเจเนอเรชัน โดย 71% ของเยาวชนเชื่อว่าพวกเขาควรมีสิทธิมีเสียงที่เข้มแข็งในการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่หลายคนกลับรู้สึกว่าตนเองถูกกันออกไป เกือบสองในสามระบุว่าต้องการมีส่วนร่วมกับผู้นำท้องถิ่นในประเด็นการดำเนินการด้านภูมิอากาศ แต่มีน้อยกว่าครึ่งที่รู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขาได้รับการรับฟังจริง
รายงานเรียกร้องให้ผู้นำชุมชน ครูผู้สอน และภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเสนอให้บูรณาการการศึกษาเชิงสิ่งแวดล้อม ขยายโอกาสการฝึกอบรม และเชื่อมโยงการจ้างงานเยาวชนกับเป้าหมายด้านภูมิอากาศ อีกทั้งยังสนับสนุนให้ผู้นำองค์กรร่วมสร้างเส้นทางสู่อาชีพสีเขียวและลงทุนในโครงการที่นำโดยเยาวชน
เมื่อมองภาพรวม วิกฤตแรงงานในอุตสาหกรรมและช่องว่างทักษะของเยาวชนคือ สองด้านของเหรียญเดียวกัน ฝั่งอุตสาหกรรมต้องการแรงงานรุ่นใหม่เพื่อขับเคลื่อนสู่ Net Zero ขณะที่คนรุ่นใหม่ก็ต้องการทำงานที่มีความหมายและตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมความท้าทายจึงอยู่ที่การสร้างสะพานเชื่อมระหว่างสองฝั่ง เพื่อให้อุตสาหกรรมได้แรงงานที่ต้องการ และเยาวชนได้ก้าวสู่เส้นทางอาชีพที่พวกเขาใฝ่ฝัน นั่นคือ การทำงานเพื่อโลกที่ยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง