net-zero

น้ำส้มแพง จากภาษีทรัมป์สู่ความเปราะบางของห่วงโซ่อาหารโลก

ภาษีทรัมป์ 50% สะเทือนสวนส้มบราซิล เกษตรกรอาจปล่อยส้มเน่าคาสวน ราคาตก น้ำส้มขาดตลาด ผู้บริโภคอเมริกันเจอราคาพุ่ง ห่วงโซ่อาหารโลกสั่นคลอน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษี 50% กับสินค้าจากบราซิลทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม นโยบายนี้กำลังเขย่าภาคเกษตรของบราซิลอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในภาคส้ม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ โรงงานต่าง ๆ เริ่มชะลอการผลิต ขณะที่เกษตรกรชาวสวนส้มกำลังพิจารณาทิ้งผลส้มให้เน่าเสีย เนื่องจากราคาส้มร่วงลงอย่างหนัก

ภาพรถแทรกเตอร์กำลังเก็บส้มที่คนงานเก็บใน สวน ส้มในเมืองฟอร์โมโซ รัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ภาพโดย REUTERS

ภาษีใหม่นี้อาจทำให้ผลผลิตจากฟาร์มไม่สามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป ขณะที่สหรัฐฯ คือผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด คิดเป็น 42% ของน้ำส้มส่งออกจากบราซิล คิดเป็นมูลค่าราว 1.31 พันล้านดอลลาร์ในฤดูกาลสิ้นสุดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

คนงานกำลังบรรทุก ส้ม ลงใน รถบรรทุกที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองฟอร์โมโซ รัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ภาพจาก REUTERS

เดือนนี้ ราคาส้มในบราซิลลดลงเหลือเพียง 44 เรียล (8 ดอลลาร์) ต่อกล่อง ลดลงเกือบครึ่งจากปีที่แล้ว ตามดัชนี Cepea ของมหาวิทยาลัยเซาเปาโล ตัวเลขนี้สะท้อนถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์ที่ก่อความปั่นป่วนได้ แม้ยังไม่เริ่มบังคับใช้จริง

ยิ่งใกล้วันที่ภาษีมีผลใช้จริง ความวิตกกังวลก็เพิ่มมากขึ้น

อิบิอาปาบา เน็ตโต หัวหน้าสมาคมผู้ส่งออกน้ำส้ม CitrusBR กล่าวกับรอยเตอร์

ผู้บริโภคในสหรัฐฯ เองก็หนีไม่พ้นผลกระทบ

ภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์จะทำให้หลายสิ่งหลายอย่าง  มีราคาแพงขึ้น  สำหรับพลเมืองสหรัฐฯ ของเขา ราคาของรถยนต์นำเข้า วัสดุก่อสร้าง และเทคโนโลยีบางประเภทจะสูงขึ้น เช่นเดียวกับราคาอาหารบนโต๊ะอาหารอเมริกัน ปัจจุบันสหรัฐฯ ต้องนำเข้า  อาหารประมาณร้อยละ 16โดยผลไม้และผักส่วนใหญ่มาจากประเทศที่โดนภาษีนำเข้า

สำหรับน้ำส้ม การผลิตน้ำส้มของสหรัฐฯ ฤดูกาล 2024/25 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบครึ่งศตวรรษ ผลผลิตเพียง 108.3 ล้านแกลลอน ขณะที่การนำเข้าจะคิดเป็น 90% ของอุปทานน้ำส้มในประเทศจนถึงเดือนกันยายน

ครึ่งหนึ่งของน้ำส้มที่ชาวอเมริกันดื่มมาจากบราซิล ภายใต้แบรนด์ Tropicana, Minute Maid และ Simply Orange บราซิลผลิตน้ำส้มมากถึง 80% ของโลก และแทบหาคนมาแทนที่ไม่ได้

แฟ้มภาพ: น้ำส้ม และน้ำเกรปฟรุต หลายยี่ห้อถูกพบเห็นในร้าน Safeway ในเมืองวีตัน รัฐแมริแลนด์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558 REUTERS

สหรัฐฯ ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำส้มมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปี เนื่องจากปัญหาโรคพืช “citrus greening” พายุเฮอริเคน และอากาศหนาวจัด ภาษีนำเข้าใหม่จากบราซิลจะพุ่งขึ้นถึง 533% จากระดับเดิมที่ 415 ดอลลาร์ต่อตัน

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา บริษัท Johanna Foods ในนิวเจอร์ซีย์ยื่นฟ้องศาล คัดค้านแผนภาษีน้ำส้มจากบราซิล โดยระบุว่าจะก่อให้เกิด ความเสียหายทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญและโดยตรงต่อบริษัทและผู้บริโภคในสหรัฐฯ ขณะเดียวกันมีการคาดการณ์ว่า ภาษีใหม่นี้อาจกระทบกับ Coca-Cola และ PepsiCo ซึ่งครองตลาดน้ำส้มในสหรัฐฯ ถึง 60% 

ฝั่งบราซิล หาตลาดใหม่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ผู้บริโภคชาวอเมริกันเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดื่มน้ำส้มมากที่สุดในโลก ขณะที่ประเทศที่นำเข้าน้ำส้มส่วนใหญ่ก็คือประเทศรายได้สูงน้ำส้มจากบราซิลส่งออกไปเพียงราว 40 ประเทศเท่านั้น (ประมาณหนึ่งในสามของประเทศที่นำเข้าเนื้อจากบราซิล)

Netto แห่ง CitrusBR ระบุว่า ภาษีนำเข้าสูงในอินเดียและเกาหลีใต้ รวมถึงรายได้ครัวเรือนต่ำในจีน เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตลาด ส่วนสหภาพยุโรปก็รับน้ำส้มจากบราซิลไปแล้วกว่า 52% ของการส่งออกทั้งหมด จึงแทบไม่เหลือช่องว่างให้ขยายอีก ทางเลือกหนึ่งคือการส่งออกผ่านคอสตาริกา

คนงานกำลังบรรทุก ส้ม ลงใน รถบรรทุกที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองฟอร์โมโซ รัฐมีนัสเชไรส์ ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 REUTERS

ซึ่งบางบริษัททำอยู่แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ CitrusBR ชี้ว่าแนวทางนี้ขัดกับกฎขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และยังไม่ชัดเจนว่าจะทำได้ภายใต้ภาษีใหม่หรือไม่

เกษตรก ราคาตกเหลือหนึ่งในสาม บางรายอาจเลิกเก็บเกี่ยว ราคาส้มในปีนี้ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสามของช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว เกษตรกรบางรายระบุว่า ต้นทุนการเก็บเกี่ยวไม่คุ้มค่าอีกต่อไป ทางออกเดียวคือการหาตลาดใหมแต่เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน

คนงานเก็บเกี่ยวส้มในฟาร์มในเมืองฟอร์โมโซ รัฐมินาสเชไรส์ ประเทศบราซิล วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 REUTERS

ความเปราะบางของห่วงโซ่อาหารโลก 

จากมุมหนึ่ง อาจดูเหมือนเป็นแค่ "สงครามการค้า" ระหว่างสองประเทศ แต่ในภาพรวม สะท้อนถึง ความเปราะบางของระบบอาหารโลก อย่างชัดเจน

  • บราซิลผลิตน้ำส้ม 80% ของโลก
  • สหรัฐฯ ดื่มน้ำส้มจากบราซิลครึ่งหนึ่ง
  •  เกษตรกรในประเทศหนึ่ง ปล่อยส้มเน่าในสวน
  • ผู้บริโภคในอีกประเทศหนึ่ง ไม่มีน้ำส้มดื่ม

และในระบบเดียวกันนี้ ลองดูราคาข้าวโพดในตลาดโลกขยับขึ้น 7% จากเหตุการณ์ทางการเมือง ราคาข้าวโพดในแอฟริกาใต้สะฮาราก็ขยับตามทันที กระทบผู้คนนับล้านที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนของธนาคารโลก (2.15 ดอลลาร์ต่อวัน)สำหรับพวกเขา

อาหารไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย แต่คือสิ่งที่อยู่ระหว่างความอยู่รอดกับความหิวโหย การขึ้นราคาข้าวโพดเพียง 7% อาจทำให้เด็กคนหนึ่งต้องอดมื้อเย็น หรือพ่อแม่ต้องเลือกระหว่างซื้อข้าวกับซื้อน้ำมันทำอาหาร

การศึกษาอีกชิ้น พบว่าประเทศต่างๆ เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและโซมาเลีย ซึ่งกำลังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหารอยู่แล้ว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากราคาอาหารในท้องถิ่น เศรษฐกิจเหล่านี้ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารเป็นอย่างมาก และเผชิญกับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนการขนส่งสูง

มีการคาดการณ์ว่าหากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น เกษตรกรในภูมิภาคเหล่านี้อาจถูกบังคับให้ทิ้งพืชผลหลัก เพื่อหันไปหาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สร้างรายได้ เช่น โกโก้หรือกาแฟ ซึ่งจะทำให้การพึ่งพาตลาดโลกที่ผันผวนรุนแรงขึ้น และลดความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอาหารลง ความเหลื่อมล้ำทั่วโลกจะเลวร้ายลง