net-zero

กมธ.พลังงาน ชง 8 มาตรการ ลดค่าไฟฟ้า 89 สตางค์

วันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา ทางคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาญัตติแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงในคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่องญัตติแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ให้กับคณะกรรมาธิการการพลังงาน

ทั้งนี้เพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาล กำหนดมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนต่อไป

  • ผลการศึกษาได้สรุปแนวทางในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ประกอบด้วย 8 มาตรการ ได้แก่

1.การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท ในอัตรา 7% คาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.3224 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ลดลง แต่หากสถานการณ์ราคาพลังงานมีทิศทางที่ดีขึ้นประกอบกับภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป ก็อาจพิจารณาทบทวนปรับอัตราการจัดเก็บ VATเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไปได้

2.การทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder และ Feed in Tariff (FiT) ในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการกลุ่มนี้ผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้ว หากสามารถทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุนการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวได้ จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.17 บาทต่อหน่วย

กมธ.พลังงาน ชง 8 มาตรการ ลดค่าไฟฟ้า 89 สตางค์

3.การนำเงินรายได้ค่าภาคหลวงและส่วนแบ่งกำไรของรัฐในส่วนของภาคไฟฟ้า มาลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้แก่ประชาชน แทนการจ่ายให้แก่รัฐโดยตรง ซึ่งในปี 2566 รัฐมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 24,897 ล้านบาท โดยจากผลการพิจารณาศึกษาคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 0.1255 บาทต่อหน่วย

4.การกำหนดให้หน่วยงานที่ใช้ไฟฟ้าสาธารณะ (Street Lighting) เป็นผู้รับผิดชอบจัดหางบประมาณมาจ่ายค่าไฟฟ้าเอง เพื่อลดภาระที่ประชาชนต้องแบกรับในปัจจุบัน เนื่องจากค่าไฟฟ้าสาธารณะ จะถูกนำมาคิดรวมในค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งทำให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยมีอัตราสูงขึ้น จากการศึกษาพบว่า ค่าไฟฟ้าสาธารณะ คิดเป็นเงินประมาณปีละ 20,482 ล้านบาท หากดำเนินการได้คาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.1032 บาทต่อหน่วย

5.การปรับลดอัตราเงินนำส่งคืนรัฐของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจาก 50 % ลดลงเหลือ 20 % ของกำไรสุทธิ เพื่อนำส่วนต่างมาปรับลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษารัฐอาจสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 16,820 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถลดค่าไฟฟ้าลงได้ 0.0848 บาทต่อหน่วย

6.การทบทวนสัดส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG แบบสัญญา Long -Term ต่อสัญญาแบบ Spot LNG ให้เหมาะสมเพื่อลดต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติ โดยปรับปรุงการบริหารจัดการเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ โดยเพิ่มสัดส่วนการนำเข้า LNG ประเภทสัญญาระยะยาว (Long-Term Contract) ซึ่งมีราคาถูกกว่าการนำเข้า LNG ประเภทสัญญาระยะสั้น (Spot LNG) ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษาหากสามารถเพิ่มสัดส่วนการนำเข้า LNG แบบสัญญา Long-Term จากเดิมที่อยู่ในระดับประมาณ 43- 47% (อ้างอิงข้อมูลปี 2566-2568) เป็นระดับประมาณ 85 % ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด 

7.การปรับลดเกณฑ์อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่ใช้ในการคำนวณรายได้ที่พึงได้รับของการไฟฟ้าให้เป็นไปตามประมวลรัษฎากรจาก 30% ลดลงเหลือ 20% จากผลการพิจารณาศึกษาจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.0174 บาทต่อหน่วย (อ้างอิงข้อมูล ปี 2566) ทั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดรายได้พึงได้รับของการไฟฟ้าที่ลดลง

8.การจัดตั้งคลังกักเก็บ LNG เป็นเขตปลอดอากร ควรพิจารณาปรับปรุงการบริหารจัดการเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งคลังกักเก็บ LNG เป็นเขตปลอดอากร เพื่อให้การนำเข้า LNG เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด ลดการนำเข้าก๊าซธรรมชาติแบบเร่งด่วน (Prompt Cargo) ในลักษณะ Spot LNG ที่มีราคาสูง และสามารถให้สิทธิในการยืม-คืน ระหว่าง Shipper แต่ละรายได้ โดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งในระยะยาวจะสามารถช่วยลดต้นทุนการนำเข้า LNG ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าได้ หากสามารถจัดตั้งคลังกักเก็บ LNG เป็นเขตปลอดอากรจะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 0.0048 บาทต่อหน่วย

ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทั้ง 8 มาตรการได้เป็นผลสำเร็จ จะสามารถลดราคาค่าไฟฟ้าให้ถูกลงได้ประมาณ 0.8907 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.15 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เป็นการช่วยลดภาระค่าครองชีพและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงได้อย่างเป็นรูปธรรม