environment

“Green Food” จีนทะยาน! เร่งสู่การผลิตอัจฉริยะ–ยั่งยืน–สากล เขย่าโลกอาหารอนาคต

In Brief

  • จีนกำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม “อาหารสีเขียว” (Green Food) อย่างรวดเร็ว โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐและความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
  • การผลิตอาหารสีเขียวของจีนเน้นมาตรฐานความยั่งยืนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีการควบคุมการใช้สารเคมีอย่างเข้มงวด และนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตรวจสอบย้อนกลับได้
  • การเติบโตของตลาดอาหารสีเขียวในจีนส่งผลกระทบในระดับสากล โดยสร้างทั้งโอกาสทางการตลาดสำหรับสินค้าเกษตรคุณภาพสูงของไทย และเพิ่มการแข่งขันในตลาดอาหารโลก

จีนเร่งเครื่องอุตสาหกรรม Green Food หรือ อาหารสีเขียว สู่ยุคการผลิตอัจฉริยะ–ยั่งยืน–สากล อุตสาหกรรมอาหารสีเขียวของจีนยังคงเติบโตแข็งแกร่งตาม “นโยบายสุขภาพจีน” โดยข้อมูลล่าสุดชี้ว่าจีนมีขนาดอุตสาหกรรมอาหารสีเขียวสูงถึง 11,447 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนความต้องการสินค้าที่ปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผ่านการรับรองตามมาตรฐานที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง

อาหารสีเขียวในบริบทของตลาดโลก ในปัจจุบันตลาดอาหารสีเขียวกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Z) โดยเฉพาะมีแนวโน้มที่จะเลือกซื้ออาหารที่มีคุณสมบัติยั่งยืนและสามารถตรวจสอบได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มาจากกระบวนการที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการขยายตัวของตลาดอาหารสีเขียวจึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตและธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อาหารสีเขียวในประเทศจีน คือ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอาหารที่ได้รับการผลิตภายใต้มาตรฐานการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเน้นการใช้เทคนิคการเกษตรที่ปลอดภัยและไม่มีสารพิษ หรือมีการใช้สาร เช่น ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยเคมีในระดับที่ต่ำมากหรือไม่ใช้เลย เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้มาตรการควบคุมคุณภาพตลอดห่วงโซ่ ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ “ปลอดภัย ไม่มีมลพิษ และมีคุณค่าทางโภชนาการ” เดิมจีนมีการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยและคุณภาพอาหาร

โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ อาหารอินทรีย์ (Organic Food) อาหารสีเขียว (Green Food) และอาหารปลอดภัย (Safe Food) ซึ่งอาหารอินทรีย์อนุญาตให้ใช้เฉพาะปุ๋ยอินทรีย์และมีมาตรฐานสูง ด้วยราคาที่สูงของอาหารอินทรีย์ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแพร่หลายมากนัก ในขณะที่มาตรฐานอาหารสีเขียว จะอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างอาหารอินทรีย์และอาหารปลอดภัย โดยลดปริมาณปุ๋ยไนโตรเจนเคมีลง 50% และลดสารกำจัดศัตรูพืชเกือบ 72% จึงเป็นที่ยอมรับของเกษตรกร และราคาที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่า

ทั้งนี้ จีนได้ริเริ่มเป้าหมายการพัฒนาอาหารสีเขียวในจีนตั้งแต่ช่วงต้นของแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสีเขียวประเทศจีน ฉบับที่ 14 (พ.ศ.2564-2568) โดยมีเป้าหมายสร้างผู้ประกอบการอาหารสีเขียว 25,000 ราย ผลิตภัณฑ์ 65,000 รายการ และฐานการผลิตวัตถุดิบที่ได้มาตรฐาน 800 แห่ง ภายในปี 2568 ปัจจุบัน จีนได้จัดตั้งหน่วยงานจัดการอาหารสีเขียวระดับท้องถิ่น 36 แห่งทั่วประเทศ จัดตั้งสถาบันทดสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหารสีเขียว 46 แห่ง และสถาบันตรวจสอบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ผลิตอาหารสีเขียว 72 แห่งได้รับอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ Green Food

 

โดยทั่วไปแล้ว อาหารสีเขียวแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์ขั้นต้นและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเกษตร/ป่าไม้  เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ธัญพืชหยาบ แป้งสาลี ผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ที่รับประทานได้ และน้ำมันพืช เป็นต้น ทั้งนี้ ผัก ผลไม้ และข้าว คิดเป็นร้อยละ 60.6 ของปริมาณอาหารสีเขียวทั้งหมด  (2) เครื่องดื่มและเครื่อมดื่มแอลกอฮอล์ (3) ปศุสัตว์และสัตว์ปีก (4) การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และ (5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

ระบบ “อาหารสีเขียว” (Green Food) ของจีน ใช้กระบวนการควบคุมคุณภาพแบบครอบคลุม “ตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร (From Farm to Table)” ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ได้แก่

• การผลิต มีการตรวจสอบ ควบคุมอย่างเข้มงวด และการผลิตที่ได้มาตรฐาน

• การใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ยาสำหรับสัตว์ สารปรุงแต่ง ฯลฯ จะถูกนำมาใช้อย่างมีหลักการทางวิทยาศาสตร์

• การป้องกันการปนเปื้อน มีมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของสารพิษและสารอันตรายในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการแปรรูปอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและผลิตภัณฑ์

• กระบวนการอื่นๆ เช่น การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ และการขนส่ง ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลให้ได้มาตรฐานทั้งหมด และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  “Green Food”  จีนทะยาน! เร่งสู่การผลิตอัจฉริยะ–ยั่งยืน–สากล เขย่าโลกอาหารอนาคต

ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญอาหารสีเขียวในประเทศจีน

• นโยบายรัฐหนุนเต็มที่ในการยกระดับมาตรฐานอาหารสีเขียว โดยการสนับสนุนงบประมาณ และพัฒนากลไกการรับรองเพื่อควบคุมคุณภาพทั้งระบบ ทั้งนี้ มณฑลที่มีการกระจุกตัวของบริษัทซัพพลายเออร์การผลิตอาหารสีเขียวมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มณฑลซานตง มณฑลอานฮุย มณฑลเจียงซู เฮยหลงเจียง และมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาที่ดีของอาหารสีเขียวในภาพตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

• เทคโนโลยีพลิกโฉมการผลิต ด้วย IoT , เทคโนโลยีชีวภาพ, เกษตรอัจฉริยะ และระบบบล็อกเชนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและตรวจสอบย้อนกลับ

• พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนอย่างชัดเจน คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลกและต้องการบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ รวมถึงมองหาสินค้าที่มีส่วนร่วมต่อความยั่งยืน เช่น ลดคาร์บอนหรือใช้พลังงานสะอาด

 

ความคิดเห็นของสำนักงานส่งเสริมการค้าในประเทศ ณ เมืองชิงต่าว

  • ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ผลิตเกษตรอาหารรายใหญ่ของโลก ได้มีการปรับตัวต่อกระแสความต้องการอาหารในระดับสากลที่ให้ความสำคัญต่อมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากแรงสนับสนุนของนโยบายรัฐที่ผลักดันสินค้าเกษตรปลอดภัยและยั่งยืน การขยายตัวนี้ส่งผลต่อไทยทั้งในด้านโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศในด้านการแข่งขันด้านเกษตรอาหารกับจีนในตลาดต่างประเทศและในตลาดจีน รวมทั้งการดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนจีนมายังไทย

 

  • อย่างไรก็ดี ความท้าทายของผู้บริโภคในตลาดจีนปัจจุบันยังมีความไม่มั่นใจต่อคุณภาพอาหารที่ติดฉลาก ส่วนใหญ่ยังยังไม่มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับมาตรฐานคุณภาพอาหารสีเขียว อีกทั้งความแตกต่างด้านราคาซึ่งอาหารที่มีฉลาก Green Food จะมีราคาสูงกว่า ดังนั้นการพัฒนาตลาดในประเทศของจีน ยังคงอยู่ในช่วงของการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น

 

  • ในอนาคตด้วยโครงสร้างสังคมสูงวัยและเศรษฐกิจจีนที่ผู้บริโภคจีนรุ่นใหม่มีความรู้ ให้ความสำคัญกับสุขภาพ และบริโภคอย่างชาญฉลาดมากขึ้น จะทำให้ความต้องการอาหารสีเขียวในจีนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับสินค้าเกษตรคุณภาพสูงของไทยได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งผัก/ผลไม้สดและแปรรูป ข้าว ธัญพืช รวมทั้งผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และเครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งนี้ จีนยังนำมาตรฐานอาหารสีเขียวและระบบตรวจสอบย้อนกลับ เช่น บล็อกเชน มาใช้ในวงกว้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถปรับกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองเพื่อเข้าสู่ตลาดจีนได้ง่ายขึ้น

 

  • การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสีเขียวในจีน ยังอาจดึงดูดให้บริษัทจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งฟาร์มแนวตั้ง การพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ หรือโครงการร่วมกันด้านความยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเกษตรของไทยและสร้างโอกาสทางธุรกิจในอนาคต