environment

“ไม่มีที่ให้หนี” สิงคโปร์ทุ่มแสนล้าน ป้องกันชายฝั่งรับมือทะเลหนุน

โครงการป้องกันชายฝั่งของสิงคโปร์ถูกยกระดับเป็นยุทธศาสตร์ชาติ โดยคาดว่าใช้งบประมาณกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังเจอความเสี่ยงจากระดับน้ำทะเลที่อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.15 เมตรภายในปี 2100 และสูงได้ถึง 5 เมตร

สิงคโปร์ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากระดับน้ำทะเลที่อาจเพิ่มขึ้นถึง 1.15 เมตร ภายในปี 2100 แม้จะยังเหลือเวลากว่า 70 ปี แต่สิงคโปร์ก็เริ่มดำเนินมาตรการปกป้องแนวชายฝั่งแล้ว

สิงคโปร์ตั้งอยู่ในหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกคุกคามจากสภาพภูมิอากาศมากที่สุดของโลก เช่นเดียวกับประเทศเกาะเล็ก ๆ อย่าง ตูวาลู (Tuvalu) ซึ่งมีประชากรราว 10,000 คน ระหว่างฮาวายและออสเตรเลีย กำลังเผชิญระดับน้ำทะเลสูงขึ้นด้วยการสร้างกำแพงกันคลื่นและถมที่ดิน

แต่ก็ยังต้องย้ายประชาชนไปที่อื่น โดยกว่าร้อยละ 80 ของประชากรได้ยื่นขอย้ายไปออสเตรเลียตามโครงการวีซ่าสภาพภูมิอากาศ (climate visa) ที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยผู้คนหลบหนีน้ำทะเลหนุน ตามรายงานของ France 24 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สำหรับสิงคโปร์ แนวคิดการถอยร่นอย่างมีการจัดการ (managed retreat) ซึ่งย้ายประชาชนออกจากชายฝั่งเพื่อเปิดทางให้น้ำทะเลรุกล้ำที่ดิน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ เนื่องจากมีประชากรมากกว่า 6 ล้านคน และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นท่าอากาศยานที่กำลังขยาย โรงไฟฟ้า ฐานทัพ และอ่างเก็บน้ำ สิ่งเหล่านี้คือทรัพยากรที่สิงคโปร์ไม่สามารถปล่อยให้น้ำทะเลกลืนกินได้

ไม่ใช่ปัญหาในอนาคต แต่เกิดขึ้นแล้ว

ภายในปี 2100 ระดับน้ำทะเลรอบสิงคโปร์คาดว่าจะสูงถึง 1.15 เมตร และเมื่อรวมกับปัจจัยสุดขั้ว เช่น น้ำขึ้นสูงและคลื่นพายุ อาจสูงถึง 5 เมตร

ปัจจุบัน 30% ของพื้นที่สิงคโปร์ตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 5 เมตร หากไม่ทำอะไร เหตุการณ์น้ำท่วมชายฝั่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อบ้านเรือนและธุรกิจ รวมทั้งรบกวนชีวิตประจำวัน ตัวอย่างชัดเจนเกิดขึ้นในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เมื่อถนน Jalan Seaview ใน Mountbatten ถูกน้ำท่วมเกือบ 3 ชั่วโมง ทำให้รถบางคันจอดเสียและบ้านเรือนใกล้เคียงถูกน้ำท่วม เหตุน้ำท่วมครั้งนั้นเกิดจากหลายปัจจัยผสมกัน ทั้งน้ำขึ้นสูง ฝนตกหนัก และคลื่นพายุที่ทำให้น้ำทะเลสูงกว่าปกติ

เอลิซา อัง ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of Technology – SIT) กล่าวว่า คลื่นพายุเคยทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติถึง 0.75 เมตรในปี 1999 และหากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากการละลายของแผ่นน้ำแข็ง เหตุการณ์น้ำท่วม “สามแรงปะทะ” แบบนี้อาจเกิดบ่อยครั้งขึ้น

สภาพภูมิอากาศถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติในปี 2019 เมื่อ ลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น กล่าวในสุนทรพจน์วันชาติ ซึ่งถือเป็นสุนทรพจน์ทางการเมืองสำคัญที่สุดของปี ว่าการป้องกันชายฝั่งมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่ของประเทศไม่ต่างจากกองทัพสิงคโปร์ เขาย้ำว่า

นี่คือเรื่องความเป็นความตาย ทุกสิ่งต้องยอมสยบเพื่อปกป้องการดำรงอยู่ของชาติ

การลงทุนป้องกันที่มีต้นทุนสูง

นับแต่นั้น สิงคโปร์ได้ดำเนินการหลายด้าน ทั้งการขยายท่อระบายน้ำ ก่อสร้างถังเก็บน้ำฝนใต้ดิน และศึกษาความเสี่ยงระดับน้ำทะเลตามแนวชายฝั่งต่าง ๆ

เฮเซล คู ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันชายฝั่งของการประปาแห่งชาติ (PUB) ระบุว่า งานป้องกันชายฝั่งต้องการการวางแผนรอบคอบและมีความท้าทายสูง ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ประสิทธิภาพของมาตรการ การใช้ที่ดินในปัจจุบันและอนาคต ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และต้นทุน ซึ่งย่อมมีการแลกเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การถมที่ดินนอกชายฝั่งเพื่อปกป้องพื้นที่ East Coast อาจกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล

ในเดือนสิงหาคม ประเทศเกาะเล็ก ๆ อย่างนาอูรูในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ขายหนังสือเดินทางครั้งแรกเพื่อนำเงินเข้าสู่กองทุนแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการอพยพจากระดับน้ำทะเล โดยผู้สมัครต้องจ่าย 105,000 ดอลลาร์สหรัฐ (135,500 ดอลลาร์สิงคโปร์) ต่อคนเพื่อขอสัญชาตินาอูรู

สำหรับสิงคโปร์ ความพยายามป้องกันชายฝั่งมีต้นทุนสูง รัฐบาลประเมินว่าจะใช้เงินถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 100 ปีข้างหน้า เพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงการถมที่ดินราว 800 เฮกตาร์นอกชายฝั่งตะวันออก หรือราวสองเท่าของ Marina Bay พร้อมอ่างเก็บน้ำใหม่ตรงกลาง

ตั้งแต่ปี 2023 PUB ยังศึกษาแนวทางติดตั้งแนวกั้นน้ำขนาดใหญ่เพื่อปกป้องชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ครอบคลุมเกาะจูร่ง ท่าเรือ Pasir Panjang และอู่ต่อเรือ Tuas จากคลื่นพายุ

กองทุนและการจัดการทางการเงิน

กองทุนป้องกันชายฝั่งและน้ำท่วม (Coastal and Flood Protection Fund) ก่อตั้งในปี 2020 เพื่อสนับสนุนการลงทุนระยะยาวในการป้องกันชายฝั่ง โดยมีวงเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์ที่ถูกนำไปใช้แล้วกับโครงการระบายน้ำ เช่น สถานีสูบน้ำ Syed Alwi ทะเลสาบ Alkaff และการปรับปรุงคลอง Bukit Timah นอกจากนี้ยังมีการกู้ยืมระยะยาวผ่านพันธบัตร Singa และการใช้เงินสำรองในอดีตสำหรับโครงการถมที่ดิน

ด้วยต้นทุนที่สูง งานป้องกันชายฝั่งจำเป็นต้องดำเนินการแบบแบ่งระยะ เพื่อให้สามารถก่อสร้างได้ในจังหวะที่ยั่งยืน สิงคโปร์แบ่งแนวชายฝั่งออกเป็น 8 ส่วนเพื่อตัดสินใจแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการปกป้องแต่ละพื้นที่

ปัจจุบันมีการศึกษารายพื้นที่อยู่ 4 แห่ง และมีแผนจะเริ่มการศึกษาใหม่ 2 แห่ง ครอบคลุมชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้และเกาะเซ็นโตซาภายในปี 2026

การศึกษาครั้งแรกเริ่มในปี 2021 บริเวณเมือง-ชายฝั่งตะวันออก โดย “Long Island” ถูกคาดหมายว่าจะเป็นเกราะป้องกันสำคัญของพื้นที่นี้ PUB จะเผยแผนการป้องกันชายฝั่งที่ Greater Southern Waterfront และชางงี ในงานนิทรรศการป้องกันชายฝั่งครั้งแรกที่ VivoCity ระหว่างวันที่ 28–31 สิงหาคม

ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง

การก่อสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่งบางส่วนคาดว่าจะเริ่มในทศวรรษ 2030 ขณะที่รัฐบาลจะปกป้องแนวชายฝั่งส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ธุรกิจชายทะเลและทรัพย์สินเอกชนก็จำเป็นต้องเป็น “แนวป้องกันชั้นสอง” ด้วย

เพื่อรองรับเรื่องนี้ รัฐบาลเตรียมเสนอกฎหมายป้องกันชายฝั่งในครึ่งแรกของปี 2026 เพื่อกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง คุ้มครองที่ดินที่จำเป็นต่อการก่อสร้าง และรับรองให้มาตรการป้องกันดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน

อ้างอิงข้อมูล 

  • straitstimes