แร่ Rare Earth หรือกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิดที่พบได้ทั่วไปในเปลือกโลก แต่มีความซับซ้อนในการแยกสกัด กำลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นหัวใจของการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ตโฟน แล็ปท็อป ลำโพง จอแสดงผล ระบบขับเคลื่อนรถ EV มอเตอร์ไฟฟ้า ดาวเทียม เรดาร์ อาวุธไฮเทค
ไปจนถึงเครื่องมือการแพทย์ขั้นสูง ถือเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของโลก แต่ “เศรษฐกิจสีเขียว” ที่ไม่ได้นึกถึง “กระบวนการผลิตที่ยั่งยืน”กำลังสร้างวิกฤติสารพิษให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวถึงการติดตามปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย โดยหลักฐานล่าสุดจากภาพถ่ายดาวเทียม GISDA พบว่ามีเหมืองแร่ rare earth ที่บนภูเขารัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกก
เวลานี้คนในพื้นที่ทั้งโกรธและช็อก แม้แต่ตัวเองที่ทำเรื่องแม่น้ำมาโดยตลอด ไม่คิดว่าในชีวิตนี้ต้องมาเจอเรื่องเหมือง ปกติเราจะคุ้นเคยกับเรื่องสร้างเขื่อน ระเบิดแก่ง ที่ส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของน้ำหรือการอพยพของปลา แต่ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์นับล้านโดยตรง ตอนนี้เหมือนเราเห็นหน้าปกหนังสือแล้ว แต่เปิดมายังมีแค่สารบัญ มีรายละเอียดอีกเยอะมากที่เรายังไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ มันรุนแรงมาก ยิ่งกว่าฝุ่นPM2.5 ด้วยซ้ำไป
ในกระบวนการขุดเจาะแร่ rare earth จะปล่อยกากของเสียที่เป็นอันตรายทั้งน้ำเสียปนเปื้อนโลหะหนัก กากแร่ และฝุ่นละออง เนื่องจากใช้การฉีดสารเคมีลงไปในดินเพื่อให้แร่ละลาย แล้วดูดขึ้นมาจากพื้นดิน ซึ่งกระบวนการนี้สร้างความเสียหายต่อดินและน้ำใต้ดินอย่างรุนแรง ส่วนกระบวนการแยกแร่และกลั่นแร่ ก็มีการใช้สารเคมีและพลังงานสูงมาก
เพียรพรแสดงความเป็นห่วงถึงน้ำดิบสำหรับอุปโภคบริโภคทั่วภาคเหนือที่กำลังวิกฤติ ไม่ใช่แค่ปลาตุ่มขึ้นที่คนไม่กล้ากิน เกษตรกรก็ใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง แหล่งท่องเที่ยวบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตรไม่ให้ช้างลงแม่น้ำกกแล้ว เพราะช้างเริ่มมีอาการป่วย และเริ่มมีการสำรวจอันตรายต่อสุขภาพของคนในพื้นที่รวมทั้งความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
ถ้าเกิดน้ำท่วมดินถล่มในภาคเหนืออีก จะไม่ใช่แค่ภัยจากโคลน แต่มาพร้อมกับสารปนเปื้อนโลหะหนัก เราต้องคิดวิธีใหม่หมดว่าจะช่วยเหลือน้ำท่วมยังไง ใส่ชุดป้องกันแบบไหน แล้วสายน้ำก็จะพาสารเคมีเหล่านี้ลงไปยังภาคอื่น ๆ ของไทย รวมทั้งลาว เวียดนาม กัมพูชา
สอดคล้องกับข้อมูลการสืบสวนของเวบไซต์ globalwitness.org ในปี 2565 ที่เปิดเผยความจริงอันน่าตกใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว พบว่า เหมืองที่ไม่ได้รับอนุญาตในประเทศเมียนมาเป็นแหล่งสำคัญของแร่หายากชนิดหนัก (Heavy Rare Earth Elements - HREE) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในแม่เหล็กที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และกังหันลมทั่วโลก
ประเทศจีนซึ่งควบคุมกำลังการแปรรูปแร่หายากทั่วโลกเกือบ 90% ได้ขยายการทำเหมืองไปยังเมียนมาที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนติดกับจีน ส่วนใหญ่มาจากรัฐคะฉิ่นที่มีกลุ่มว้าควบคุมอยู่ ภายหลังสองปีจากรายงานฉบับแรก Global Witness ได้กลับไปสำรวจพื้นที่เหมืองพิษอีกครั้ง พบว่าสุขภาพของแรงงาน สิ่งแวดล้อม และชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้น หนึ่งในคำให้สัมภาษณ์ของชาวบ้านกล่าวว่า
ตอนนี้ไม่มีปลาเหลือในแม่น้ำแล้ว แค่ลงไปเหยียบก็รู้สึกคันและติดเชื้อได้ สัตว์ที่กินน้ำก็ตาย
อ่านรายงานตรวจสอบคุณภาพน้ำ เดือนเมษายน 2568 ได้ ที่นี่
อ้างอิง
เขียนโดย ธันยมัย อนันตกรณีวัฒน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง